เมื่อวันที่ 13 ส.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้นำดิน 3 ชนิด ประกอบด้วย ดินไร่มันสำปะหลัง ดินเขาภูเหล็กไฟ เเละดินถ้ำน้ำลอด โดยเทดินทั้ง 3 ชนิดลงที่พื้นเป็น 3 กอง เเล้วทดลองใช้มือจับ เพื่อจะดูความเเตกต่างว่าดินชนิดไหนติดมือดีที่สุด
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
เริ่มจากดินเขาภูเหล็กไฟ เป็นดินทรายผสมก้อนหิน เมื่อมีการจับดินก็ติดมือ เเต่เมื่อเอามืออีกข้างปัด ดินก็หลุดจากมือโดยง่าย
ส่วนดินไร่มันสำปะหลัง สภาพเป็นดินทราย เมื่อมีการจับก็ติดมือ เเต่เมื่อเอามืออีกข้างปัดก็หลุดโดยง่ายเช่นกัน
ขณะที่ดินถ้ำน้ำลอด มีลักษณะเป็นโคลน เมื่อจับก็ติดเลอะมือ เเต่เมื่อเอามืออีกข้างปัด ดินจะไม่หลุด เเต่จะติดเป็นคราบ
จากนั้นได้ทดลองใช้เท้าเหยียบ ซึ่งดินไร่มันสำปะหลังกับดินเขาภูเหล็กไฟ จะมีความคล้ายคลึงกัน คือติดลักษณะเปื้อนจากการสัมผัส เเต่ดินถ้ำน้ำลอด ติดลักษณะเลอะเป็นคราบ
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.ชัชชัย วงศ์สุนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ถึงความคืบหน้าทางคดี เปิดเผยว่า ขณะนี้ในเรื่องของการสืบสวนสอบสวน ตำรวจยังคงดำเนินการตามปกติ ส่วนในเรื่องถ้ำน้ำลอด หากเด็กถูกอุ้มขึ้นมาจริง ก็อาจเป็นไปได้ที่จะถูกใช้เป็นสถานที่ซุกซ่อน ซึ่งเบื้องต้นตำรวจก็มีการลงไปสำรวจเเละเก็บหลักฐานต่าง ๆ จากถ้ำมาทำการตรวจสอบ
ส่วนดินที่ติดเท้าน้องชมพู่ เป็นลักษณะเปรอะเปื้อนทั่วไปจากการสัมผัส เบื้องต้นได้เก็บตัวอย่างดินโคลนจากถ้ำน้ำลอด ไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับดินที่ติดเท้าน้องชมพู่เเล้ว เเต่ดินในถ้ำดังกล่าวกับดินของเขาภูเหล็กไฟ มีความคล้ายคลึงกัน จึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นดินจากแหล่งที่ใด
จากการลงพื้นที่วัดองศาความลาดชัน เเละเชิญเเพทย์ที่ชันสูตรศพน้องชมพู่มาร่วมเดิน เเละนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดไปวิเคราะห์กับผู้ที่เชี่ยวชาญ เเละผู้ที่เกี่ยวข้องเกิน 90 เปอร์เซ็นต์ ลงความเห็นว่าเด็กไม่สามารถเดินจากบ้านไปถึงจุดพบศพเองได้
ส่วนเส้นทางที่คนร้ายใช้ ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งทางขึ้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะใช้เส้นทางถ้ำน้ำลอด ส่วนทางลงสามารถลงได้รอบทิศทาง อย่างไรก็ตามขณะนี้ตำรวจกำลังทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย มีการสืบสวนในทุกมิติ ขอเวลาอีกสักระยะ บางสิ่งบางอย่างก็จะชัดเจนขึ้น ซึ่งหากมีความคืบหน้า จะเเถลงให้ทราบต่อไป
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นายสหรัฐ ยาสาไชย หรือช่างเบิร์ด บุคคลที่ไปตามหาน้องชมพู่ที่โรงเรียนกกกอก ในวันที่ 12 พ.ค.63 โดยช่างเล็กเล่าว่า ในวันดังกล่าว มีชาวบ้านต่างพื้นที่มาช่วยหาน้องชมพู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วงเช้าตนยังนั่งเล่นอยู่ที่บ้าน กระทั่งช่วงบ่าย เห็นชาวบ้านต่างพื้นที่ประมาณ 30-40 คน เดินผ่านหน้าบ้าน ไปทางโรงเรียนกกกอก ตนจึงได้ตะโกนถามว่าไปหาที่ไหนกัน ชาวบ้านก็ตอบกลับมาว่า มีร่างทรงเเนะนำให้ไปหาเเถวโรงเรียน อาจจะเจอ
ทั้งนี้ตนจึงขี่รถจักรยานนต์ซาเล้งตามชาวบ้านกลุ่มนั้นไปที่โรงเรียน ซึ่งพ่อน้องอชิก็ขี่รถจักรยานยนต์อีกคันไปด้วยกัน เเล้วจอดรถอยู่ที่บ้านพักครู ซึ่งก็สังเกตเห็นว่าที่ชั้น 2 ของบ้านพักครู มีหน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ ทั้ง ๆ ที่ประตูปิดล็อก ตอนนั้นคาดว่าหรือคนร้ายจะนำน้องชมพู่มาซ่อน เเต่ไม่มีใครกล้าปีน ตนจึงปีนขึ้นไปดู เเต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติเเต่อย่างใด
โรงเรียนกกกอกนั้นร้างมากว่า 10 ปีเเล้ว ซึ่งปีที่ผ่านมาเพิ่งมีการบูรณะบ้านพักครู เนื่องจากทรุดโทรม โดยช่างรับเหมาที่มาบูรณะ ก็มีการพักอาศัยในบ้านพักครู หลังจากบูรณะเสร็จ ก็ไม่ได้ใช้งานเเต่อย่างใด
ส่วนทางจากบ้านน้องชมพู่ ไปยังบ้านพักครู ทางไปได้ 2 ทาง คือด้านหน้ากับด้านหลัง ซึ่งด้านหน้าเดินสะดวก เเต่ด้านหลังค่อนข้างรก ตนก็ไม่ทราบว่าตอนนี้จะเดินได้หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะนำเด็กไปซ่อนในบ้านพักครู เพราะคนอาจเห็นได้ ส่วนเรื่องทำนายของร่างทรง เเละเส้นทางที่คนร้ายใช้ ตนไม่ขอออกความคิดเห็น เเต่เชื่อว่าคนร้ายต้องเป็นคนต่างพื้นที่
ทีมข่าวลงพื้นที่โรงเรียนสยามกลการ 5 (โรงเรียนกกกอก) พบว่าเป็นโรงเรียนที่ทิ้งร้างมากว่า 10 ปี เมื่อสำรวจอาคาร พบว่าเป็นอาคารปูนชั้นลอย ชั้นบนเป็นห้องเรียนแต่ประตูถูกปิดสนิท ชั้นล่างเป็นใต้ถุนซึ่งเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ หน้าอาคารมีถังเก็บน้ำปูนขนาดเล็ก 3 ถัง หลังอาคารถังเก็บน้ำปูนขนาดเล็ก 6 ถัง หลังถังเก็บน้ำใหญ่มีห้องน้ำ 4 ห้อง ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง แต่ประตูห้องน้ำไม่มีกลอนข้างนอก ต้องล็อกจากข้างในห้องน้ำเท่านั้น
ติดกับอาคารเรียน มีอาคารอเนกประสงค์ซึ่งเป็นอาคารที่มีหน้าต่างโปร่ง ถัดมาเป็นโรงอาหาร ซึ่งเป็นอาคารโปรง ไม่มีกำแพงกั้น ทีมข่าวลงพื้นที่บ้านพักครู อยู่ห่างจากอาคารเรียนประมาณ 100 เมตร อยู่ฝั่งหน้าโรงเรียน โดยอาคารเรียนอยู่ห่างจากถนนใหญ่เพียง 50 เมตรเท่านั้น ซึ่งทีมข่าวได้สำรวจชั้นล่าง พบว่ามีห้องเก็บของและห้องน้ำ สังเกตว่าทั้ง 2 ห้อง ประตูจะมีที่ล็อกกลอนกุญแจจากข้างนอก
เมื่อขึ้นไปสำรวจที่บริเวณชั้น 2 พบว่า ห้องจะถูกแบ่งเป็น 3 ห้อง โดยมีห้องโถงอยู่ตรงกลาง กั้นระหว่างห้องนอน 2 ห้อง ซึ่งขนาดห้องทั้ง 3 ห้องนั้นมีขนาดเท่ากันหมด คือยาว 2 เมตร กว้าง 4 เมตร ซึ่งห้องนอนจะมีหน้าต่าง 2 บาน
เมื่อวันที่ 13 ส.ค.63 ทีมข่าวได้จำลองแบกกระสอบข้าว น้ำหนัก 12 กิโลกรัม โดยเริ่มต้นจากเปลที่หน้าบ้านน้าต่าย ลัดเลาะเส้นทางที่ลับตาคน โดยเดินทางไปสวนมันสำปะหลังยายจำลอง ต่อด้วยเข้าสวนยางนายแต และข้ามห้วยน้อยที่เป็นโพรงเล็ก ๆ ที่พอจะเดินผ่านได้ ไปทะลุสวนยางที่ไร่ หลังจากนั้นก็เดินเลาะตีนเขา ผ่านโพรงต้นไผ่ผ่าห้วยน้อยอีกเส้น ไปโผล่ที่ลานหินหลังโรงเรียนสยามกลการ 5 (โรงเรียนกกกอก) หลังจากนั้นก็เดินเข้าโรงเรียนและเดินไปยังบ้านพักครู เป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร 40 เมตร ใช้เวลา 20 นาที 27 วินาที
ทีมข่าวได้จำลองแบกกระสอบข้าว น้ำหนัก 12 กิโลกรัม โดยเริ่มต้นจากเปลที่หน้าบ้านน้าต่ายเดินไปทางถนนหลังซอยบ้านน้องชมพู่ ผ่านถนนหน้าสวนยางของนายแต และจำเป็นต้องผ่านห้วยน้อยที่เป็นโพรงเล็ก ๆ ที่พอจะเดินผ่านได้ ไปทะลุสวนยางที่ไร่ หลังจากนั้นก็เดินเลาะตีนเขา ผ่านโพรงต้นไผ่ผ่าห้วยน้อยอีกเส้น ไปโผล่ที่ลานหินหลังโรงเรียนสยามกลการ 5 (โรงเรียนกกกอก) หลังจากนั้นก็เดินเข้าโรงเรียนและเดินไปยังบ้านพักครู ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับการจำลอง 1 แต่การเดินครั้งนี้ใช้ระยะทาง 660 เมตร ใช้เวลา 11 นาที 6 วินาที
ทีมข่าวได้จำลองแบกกระสอบข้าว น้ำหนัก 12 กิโลกรัม โดยเริ่มต้นจากเปลที่หน้าบ้านน้าต่าย โดยใช้เส้นทางที่คิดว่าเดินได้รวดเร็ว และสะดวก พร้อมกับมีโอกาสเจอคนน้อยที่สุด โดยเดินไปทางถนนหลังซอยบ้านน้องชมพู่ ผ่านถนนหน้าสวนยางของนายแต และจำเป็นต้องผ่านห้วยน้อยที่เป็นโพรงเล็ก ๆ ที่พอจะเดินผ่านได้ ไปทะลุสวนยางที่ไร่ หลังจากนั้นก็เดินเลาะตีนเขา ผ่านโพรงต้นไผ่ผ่าห้วยน้อยอีกเส้น ไปโผล่ที่ลานหินหลังโรงเรียนสยามกลการ 5 (โรงเรียนกกกอก) หลังจากนั้นก็เดินเข้าโรงเรียน และหยุดที่อาคารเรียน ซึ่งการเดินครั้งนี้ใช้ระยะทาง 560 เมตร ใช้เวลา 10 นาที
นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าบ้านพักโรงเรียน ไม่มีคนอยู่ ซึ่งปกติ ผอ.โรงเรียนบ้านกกตูม เป็นคนรักษาการดูแล ไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว บางทีอาจจะชำรุดบ้าง ตนว่าการที่หน้าต่างเปิดก็ไม่ได้สำคัญอะไร อีกทั้งน้องชมพู่ก็ไม่เคยไป ยิ่งหากนำน้องชมพู่ไปซ้อน คงต้องหาเจอจุดนั้น เพราะโรงเรียนไม่ใช่ที่ซับซ้อน
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้พูดคุยกับ นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา เเม่ของน้องชมพู่ ถึงกรณีว่าเชื่อหรือไม่ว่าคนร้ายอาจนำน้องชมพู่ไปซ่อนไว้ที่บ้านพักครูโรงเรียนกกกอก คุณเเม่ กล่าวว่า "อะไรที่ตาเรามองไม่เห็น เเม่ก็เชื่อว่าเป็นไปได้หมด"
เมื่อสรุปคาดการณ์หากซ่อนเด็กในโรงเรียนกกกอก นางสาวิตรี บอกว่า "เป็นไปได้" ส่วนลุงพล และช่างเบิร์ด บอกว่า "เป็นไปไม่ได้"
