เปิดผลชันสูตร "น้องเมย" ครอบครัวสงสัยพบเลือดคั่งม้าม-ตับ เชื่อไม่ได้เกิดจากการ CPR

26 พ.ย. 60
วันนี้ ( 26 พ.ย.) นายพิเชษฐ พร้อมด้วย นางสุกัญญา และ น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พ่อ แม่และพี่สาวของ “น้องเมย” หรือ นายภคพงษ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่ จ.ชลบุรีอีกครั้ง เพื่อกล่าวขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้ง พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่ให้โอกาสกับทางครอบครัวและรับปากว่าจะให้ความเป็นธรรม โดยสิ่งที่ครอบครัวอยากฝากไปยังผู้ใหญ่ทั้ง 3 ท่านคือ การสร้างความกระจ่างเรื่องสาเหตุการเสียชีวิต รวมทั้งหากเกิดจากการถูกกระทำให้เสียชีวิต ก็ขอให้นำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ พร้อมขอร้องให้ผู้ไม่หวังดีหยุดการให้ร้ายผู้ตายว่า ฆ่าตัวตายเอง หรือแม้แต่เกิดจากโรคประจำตัว  นายพิเชษฐ กล่าวยืนยันว่าการออกมาให้ข่าวต่างๆ ไม่มีจุดประสงค์ที่จะโจมตีกองทัพ หรือโรงเรียนเตรียมทหารให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่ต้องการเรียกร้องให้บุคลากรในโรงเรียนฯ ไม่ปล่อยปละ ละเลยผู้อยู่ในการดูแลจนเกิดเรื่องน่าเศร้า และหลังจากนี้ครอบครัวก็จะยังคงจะเดินหน้าหาความจริงเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตเพื่อให้ได้ความกระจ่าง “ขณะนี้ทางครอบครัวได้รับความเห็นใจ และเมตตาจากทั้งผู้ใหญ่และผู้คนทั่วไปที่ได้ติดตามข่าวสาร ซึ่งในจุดนี้เราขอขอบคุณจากหัวใจ หลายคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อเจอเราทั้งที่โรงพยาบาล หรือแม้แต่ในตลาด ก็พากันเข้ามาให้กำลังใจ และบอกให้สู้เพื่อหาความจริง เพราะทุกคนก็รอฟังข่าวอยู่ เช่นเดียวกับทีม Motor Sport ที่เกิดจากการการรวมตัวของกลุ่มนักแข่งรถ ก็แจ้งมาว่าพร้อมจะระดมทุนช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับใช้ในทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิต ของน้องเมย ” ด้าน น.ส.สุพิชา เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ครอบครัวได้รับเอกสารผลการชันสูจน์ร่างกาย “น้องเมย” จากสถาบันพยาธิวิทยาศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ซึ่งเป็นสถาบันแรกที่ทำการผ่าพิสูจน์แล้วจำนวน 2 แผ่น เบื้องต้นพบว่ากระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 ด้านขวาหักตรงกันกับข้อมูลเดิม แต่สิ่งที่ครอบครัวสงสัยเพิ่มเติมคือผลการชันสูตรในครั้งแรก เรื่องการตรวจสอบชิ้นเนื้อทางกล้องจุลทรรศน์บริเวณตับ พบมีการคั่งเลือดเล็กน้อย เช่นเดียวกับม้าม ซึ่งจุดนี้ค่อนข้างอยู่ห่างจากจุดที่ทำ CPR  “ เบื้องต้นเราต้องชมทีมแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎฯก่อนว่า การทำ CPR 4 ชั่วโมงที่ทุกคนบอกว่ามันเป็นการทำงานที่หนักและมาราธอน เราต้องขอขอบคุณอย่างสูง แต่เมื่อได้เล่าข้อเท็จจริงนี้กับแพทย์ศัลยกรรมอุบัติเหตุ ที่ให้ความกรุณากับครอบครัว ท่านยืนยันว่าการทำ CPR แม้จะยาวนานถึง 4 ชั่วโมง ก็ไม่น่าจะกระทบถึงม้ามและตับ ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบต่อไป เช่นเดียวกับกรณีที่แพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ บอกว่าเซลล์หัวใจของน้องโตกว่าเด็กปกติ ซึ่งหากน้องเสียชีวิตโดยภาวะหัวใจโต เรายอมรับได้ว่าเกิดจากตัวโรค แต่การมีรอยช้ำประกอบกับอาการหัวใจโต ต้องสืบหาว่าเกิดจากการถูกทำร้ายหรือสาเหตุใด เพราะวันที่ 13 ต.ค.ก่อนเสียชีวิต ครอบครัวได้พาน้องไปตรวจร่างกายที่ รพ.สมิติเวช ศรีราชา จากอุบัติเหตุตกบันได ก็ได้เข้าเอ็กซเรย์ช่วงปอดพบว่าในจุดที่เป็นรอยโล่ง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ขณะที่ขนาดของหัวใจ ก็ระบุว่าเท่ากับปกติทั่วไป และไม่มีจุดใดบ่งชี้ว่าผนังหัวใจโตหรือผิดปกติ ซึ่งสถาบันนิติเวช กระทรวงยุติธรรม ยังคงให้ความเป็นธรรมเช่นเดิม ที่ว่าเมื่อจะเริ่มผ่าชิ้นส่วนน้อง จะอนุญาตให้เมี่ยง และน้าสาวซึ่งเป็นพยาบาลเข้าดูได้ ก็คงจะได้มีโอกาสถามว่า อาการหัวใจโต เกิดจากอะไร” 
น.ส.สุพิชา ยังเผยถึงกรณีที่กลุ่ม Motor Sport พร้อมระดมทุนช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายด้านการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ รอบ 2 ที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงว่า ทางครอบครัวซาบซึ่งและขอขอบคุณ แต่เนื่องจากขณะนี้การตรวจพิสูจน์ทั้ง ดีเอ็นเอ และรายละเอียดต่างๆ ที่ค่อนข้างยาก สามารถทำได้ในประเทศไทย จึงเชื่อว่าค่าใช้จ่ายไม่น่าจะสูงเกินไป และที่สำคัญขั้นตอนต่างๆ ได้รับการอนุเคราะห์จากกระทรวงยุติธรรม ที่จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดแล้ว
สอดคล้องกับ การเปิดเผยของ นางสุกัญญา ที่ว่าได้รับการยืนยันจากแพทย์ศัลยกรรมอุบัติเหตุ ที่หวังดีโทรศัพท์มาอธิบายรายละเอียดว่า จากประสบการณ์ การเป็นแพทย์ศัลยกรรมประจำห้องฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นรถชนหรือกรณีอื่นๆ ได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องการผิดปกติของซี่โครงที่หัก ว่าน่าจะเกิดจากการอัดกระแทกอย่างแรก เพราะ การ ทำ CPR ไม่สามารถทำให้กระดูกซี่โครงหักได้ และไม่น่าจะทำให้ม้าม เกิดการคั่งเลือด แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดได้คือการถูกหัวเข่ากดขณะทำ CPR เท่านั้น 

ส่วนกรณีที่มีการโจมตี เรื่องจดหมาย ที่น้องเมย ได้เขียนถึงเพื่อนที่กำลังจะลาออกจากโรงเรียนฯ จนถูกกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนโจมตีครอบครัวของตนเอง และครอบครัวอดีตนักเรียนเตรียมทหารนั้น ขอร้องว่าอย่าโยงให้เป็นเรื่องที่เกิดความบาดหมาง เพราะจดหมายที่ได้รับเป็นเพียงการให้กำลังใจซึ่งกันและกันเท่านั้น ส่วนที่เป็นข่าวอีกครั้ง ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจทำให้โรงเรียนเสียหายแต่อย่างใด

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ