หลังจากที่
นายชลวิทย์ หิรัญชัชวาลย์ หรือ
เสี่ยเอ็ม ได้ขับรถหรูไปชนสามีภรรยาคู่หนึ่งจนได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา จนกระทั่งโลกออนไลน์ได้มีการสืบค้นประวัติพบว่า เมื่อปี 2555 เสี่ยเอ็มเคยขับรถชนคนได้รับบาดเจ็บถึง 4 ราย แต่ชดเชยผู้เสียหายเพียงแค่ 1 หมื่นบาท ทั้งที่บางรายหลังจากพักรักษาตัว ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ซึ่งผู้เสียหายส่วนหนึ่งเคยให้สัมภาษณ์ในรายการต่างคนต่างคิดไปก่อนหน้านี้แล้ว (อ่าน :
แฉ!!หนุ่มซิ่งปอร์เช่ราคา 10 ล. ที่แท้ เคยโดนคดี ชนพลเมืองดี ไม่จ่ายค่าดูแล)
ล่าสุด วันที่ 27 เมษายน 2560
นางหงส์ แซ่ลี้ อายุ 87 ปี อาม่าของเสี่ยเอ็ม ได้เปิดเผยใน
รายการต่างคนต่างคิดว่า ยังไม่ทราบว่าเสี่ยเอ็มหลานชาย เพิ่งไปขับรถปอร์เช่ชนสามีภรรยาคู่หนึ่งจนได้รับบาดเจ็บไปเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่า
เมื่อปี 2555 ตนเป็นคนซื้อรถมินิคูเปอร์ให้หลานด้วยเงินสด 3 ล้านบาท ได้จากการทำไร่มัน และค้าขาย เพราะเสี่ยเอ็มที่ขณะนั้นอายุเพียง 17 ปี ขอร้องให้ซื้อโดยสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนหนังสือ
อาม่าบอกว่า ตนเลี้ยงดูเสี่ยเอ็มมาตั้งแต่เด็ก เพราะลูกชายของตนหรือพ่อของเสียเอ็ม ได้แยกทางกับภรรยาซึ่งป่วยเป็นอัมพาต ไปแต่งงานใหม่ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสวีเดน
อาม่าเล่าเหตุการณ์เมื่อปี 2555 ที่หลานชายขับรถหรูไปชนคนได้รับบาดเจ็บ 4 รายว่า บริษัทประกันภัยที่ตนทำไว้ได้ติดต่อเอาเงินมาให้ ซึ่งตนพร้อมทนายความก็นำไปให้พ่อของโชติกา หรือปลั๊ก ผู้เสียหายในขณะนั้นจำนวน 1 ล้านบาท โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นสักขีพยาน พร้อมทั้งยืนยันว่าเคยไปเยี่ยมผู้เสียหายรายนี้ที่โรงพยาบาล ซึ่งขณะนั้นยังไม่รู้สึกตัว รวมทั้งผู้เสียหายอีก 3 รายก็ได้รับเงินจากบริษัทประกันภัยไปคนละ 1 ล้านบาทเช่นกัน
ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายเมื่อปี 2555 บอกว่า ได้รับเงินเพียงคนละ 1 หมื่นบาทเท่านั้น อาม่าบอกว่า
เงิน 1 หมื่นบาทนั้นเป็นเงินส่วนตัวที่ให้ต่างหาก ทั้งยังซื้อกระเช้าของขวัญไปเยี่ยมโดยมีทนายความเกิดผล แก้วเกิด ที่รับมาช่วยดูแลคดีในขณะนั้นเป็นพยาน
ทั้งนี้ กรณีคุณนุ่น และคุณปลั๊ก ผู้เสียหายที่ให้สัมภาษณ์ในรายการต่างคนต่างคิดไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่าได้ฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม แต่ยังไม่ยอมจ่ายนั้น อาม่าชี้แจงว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด เพราะมอบหมายให้ทนายเป็นคนดำเนินการ พร้อมยังบอกด้วยว่าทุกวันนี้ตนอาศัยอยู่กับลูกสาว โดยเช่าที่ดินของวัด ดังนั้น
ถ้าจะมีการฟ้องร้องเรียกเงิน ก็ไม่มีเงินพอที่จะไปช่วยชดใช้ให้ใครอีกแล้ว
ขณะที่
นายสุระเชษฐ์ ณัฎฐาชัย ผู้เสียหายที่ถูกเสี่ยเอ็มขับรถมินิคูเปอร์ชนเมื่อปี 2555 วิดีโอคอลให้สัมภาษณ์ในรายการต่างคนต่างคิด ว่าครั้งนั้น
ถูกชนจนอาการสาหัส เกือบเป็นอัมพาต จนต้องรักษาอาการด้วยการผ่าตัดกระดูกสันหลัง 2 ข้อและพักฟื้นต่อในโรงพยาบาลนานเกือบ 6 เดือน ล่าสุดนี้แม้อาการดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถกลับมาเดินได้เหมือนปกติ ต้องทำกายภาพบำบัดตลอด
ผู้เสียหายรายนี้เล่าว่า ขณะนั้นมีสื่อมวลชนให้ความสนใจทำข่าว ทางบริษัทประกันภัยเข้ามาช่วยเหลือค่าใช้จ่าย 1 ล้านบาท โดยจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลและการผ่าตัด 9 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 1 แสนบาทมอบให้เป็นเงินสด เพื่อใช้จ่ายในการทำกายภาพบำบัดต่อ
ทั้งนี้ นายสุระเชษฐ์ บอกว่าที่ผ่านมา
เสี่ยเอ็ม หรืออาม่าไม่เคยมาเยี่ยมตนเลย และยืนยันด้วยว่าไม่เคยมีการติดต่อกัน
ขณะที่อาม่า
ยืนยันว่าตนได้ไปเยี่ยมนายสุระเชษฐ์ แต่ยอมรับว่าหลายชายไม่ได้ไปด้วย
ส่วนเงินที่อาม่าบอกว่าให้ต่างหากรายละ 1 หมื่นบาทนั้น ผู้เสียหายรายนี้บอกว่า น่าจะเป็นตอนที่มอบให้ต่อหน้าตำรวจหลังจากที่เสี่ยเอ็มเข้ามอบตัว
"
คุณชลวิทย์ทำไมเขาขับรถแบบนั้นอีก เขาเคยชนผมกับคนอื่น เขาอ้างมาตลอดว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ผ่านไป 5 ปีเขาก็ชนคนอีก แล้วเป็นตอนกลางวันด้วย สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ทั้งอาม่า สังคม และคนอื่น และไม่เคยออกมาขอโทษเลย" นายสุระเชษฐ์กล่าว
นายสุระเชษฐ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนยังได้
ฟ้องศาลแพ่งเรียกเงินชดเชยเพิ่มเติมอีก 3 ล้านบาทด้วย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากคู่กรณีมาแต่อย่างใด
ด้านอาม่าบอกว่า ตอนมีการฟ้องร้อง นายสุระเชษฐ์ได้เรียกค่าเสียหาย 20 กว่าล้าน แต่ตนไม่มีให้ ซึ่งศาลได้ไกล่เกลี่ยให้เหลือ 3 ล้าน “
เรียก 20 กว่าล้าน เอาฉันไปฆ่าดีกว่า ฉันไปเอาที่ไหน"
ส่วนกรณีล่าสุดที่เสี่ยเอ็มขับรถปอร์เช่ มูลค่า 6-7 ล้านบาทไปชนคนอื่น อาม่า
ยืนยันว่าไม่รู้มาก่อน ทั้งเรื่องรถ รวมทั้งเรื่องที่บอกว่าได้มีการเจรจาชดใช้ค่าเสียหายรายล่าสุด 1 ล้านบาท
อาม่าบอกว่า ขณะนี้เอ็มอายุ 23 ปีแล้ว ยังเรียนไม่จบ ส่วนเรื่องที่เสี่ยเอ็มมักจะถ่ายรูปคู่กับรถหรู เชื่อว่าไม่ใช่รถของหลาน และ
ไม่ได้เป็นคนซื้อเอง แต่น่าจะเป็นรถที่หลานชายหามาให้เต็นท์รถที่รู้จักขายต่อ แล้วได้เงินส่วนแบ่งจากการขาย
อย่างไรก็ตาม อาม่ายอมรับว่ารู้สึก
โกรธหลานคนนี้จนไม่อยากติดต่อ เหนื่อยกับการเลี้ยงหลานคนนี้มาก พ่อของหลานก็พาลโกรธตนด้วย เพราะรักหลานมากเกินไป กระทั่งไม่ส่งเงินเลี้ยงดู โดยบอกด้วยว่าจะรับอาม่าไปอยู่ด้วยกันที่ประเทศสวีเดน ซึ่งตนยอมรับว่าไม่อยากไป เพราะกลัวอากาศหนาว
ด้าน
พ.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์ มีสวัสดิ์ ผู้กับกับการสน.ลาดพร้าว ให้สัมภาษณ์ในรายการต่างคนต่างคิดด้วยว่า เบื้องต้นโดนตั้งข้อขับรถโดยประมาท แต่ต้องรอรอใบรับรองแพทย์ของผู้บาดเจ็บมายืนยันก่อนการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม
โดยในวันที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของนายชลวิทย์ แต่ไม่พบ ส่วนรถซึ่งเป็นพยานหลักฐานของคดีได้นำมาตรวจสอบสภาพโดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก่อนส่งมอบรถคืน
พ.ต.อ.ศักดิ์สิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า
วันเกิดเหตุ รถไม่มีแผ่นป้ายทะเบียน แต่จากการตรวจสอบป้ายพ.ร.บ. ที่ติดอยู่หน้ารถพบว่า ไม่มีชื่อของเสี่ยเอ็ม หรือนายชลวิทย์ เป็นผู้ครอบครองรถ แต่เป็นชื่อเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่งซึ่งต่อไป จะต้องติดตามว่า รถคันดังกล่าวมีการนำเข้า และจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่
ส่วนคดีของนายชลวิทย์เมื่อปี 2555 ผู้กับกับการสน.ลาดพร้าว บอกว่า จะต้องมีการตรวจสอบผลการพิพากษาว่ามีส่วนเกี่ยวเนื่องมาถึงอนาคตหรือไม่
ขณะที่ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางไปตรวจสอบ
โชว์รูมรถหรูซึ่งคาดว่านายชลวิทย์นำรถจากที่นี่ไปใช้ พบว่ามีการเคลื่อนย่ายรถหรูออกไปตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนแล้ว