ทรัมป์อนุมัติร่างกฎหมาย ให้ตรวจ โควิด-19 ฟรี เยียวยาคนตกงาน-ลาป่วย

19 มี.ค. 63

วันนี้ (19 มี.ค.) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันพุธ (18 มี.ค.) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาลงนามในร่างกฎหมาย เพิ่มวันลาป่วย ขยายความคุ้มครองประกันการว่างงาน และรับรองการทดสอบติดเชื้อฟรี หลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) รุนแรงขึ้น

ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน วุฒิสภาได้อนุมัติแผนดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 90-8 โดยมีวุฒิสมาชิกรีพับลิกัน 2 คนที่ไม่ได้ลงคะแนน เนื่องจากอยู่ระหว่างการกักกันตัวเอง หลังทั้ง 2 พบว่าผู้ที่เคยติดต่อด้วยมีผลการทดสอบไวรัสดังกล่าวเป็นบวก

มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากวุฒิสภา สมาชิกรีพับลิกันแห่งรัฐเคนทักกี ได้กล่าวก่อนการลงคะแนนเสียงว่าเขาจะสนับสนุนข้อเสนอของสภา แม้จะมีความเห็นขัดแย้งที่ว่า “มันยังไม่พอต่อการช่วยเหลือชาวอเมริกัน และที่สำคัญคือมันยังเพิ่มความไม่แน่นอนมากขึ้นให้กับธุรกิจขนาดเล็ก”

ร่างกฎหมายที่เสนอโดยสภาผู้แทนราษฎรซึ่งผ่านการพิจารณาเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์(14 มี.ค.) และได้รับการอนุมัติจากสภาล่างให้มีการแก้ไขทางเทคนิคบางประการก่อนจะส่งต่อไปยังขั้นตอนการลงคะแนนเสียงในช่วงค่ำของวันจันทร์(16 มี.ค.) ยังระบุถึงมาตรการขยายความคุ้มครองประกันการว่างงาน เพื่อรับรองว่าธุรกิจที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 คนจะให้สิทธิ์ลาป่วยโดยยังจ่ายค่าจ้างตามปกติเป็นเวลา 2 สัปดาห์ให้กับพนักงาน ทั้งยังรับรองการเพิ่มเงินทุนสำหรับโครงการช่วยเหลือด้านอาหาร เช่นเดียวกับการให้สิทธิ์ทดสอบการติดเชื้อฟรีแก่ทุกคนรวมถึงผู้ที่ไม่มีประกัน

ร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของทั้งสองฝ่าย เป็นชุดกฎหมายฉบับที่ 2 แล้วที่สภาคองเกรสอนุมัติเพื่อแก้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ส่วนชุดกฎหมายก่อนหน้านี้ลงนามเมื่อช่วงต้นเดือนโดยทรัมป์ เพื่ออนุมัติเงินทุนฉุกเฉิน 8.3 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.71 แสนล้านบาท) มาเพิ่มเป็นเงินทุนสำหรับการทดสอบการติดไวรัส การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน และการลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล

เมื่อวันอังคาร (17 มี.ค.) สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีกระทรวงคลังสหรัฐฯ กล่าวในการรายงานข่าว ณ ทำเนียบขาวว่า เขากำลังทำงานร่วมกับฝ่ายนิติบัญญัติในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ “สำคัญยิ่ง” ซึ่งรวมถึงมาตรการสนับสนุนสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก สายการบิน และโรงแรม รวมถึงการจ่ายเงินสดแก่แรงงานอเมริกันในจำนวนที่ทำได้ โดยสื่อบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า ชุดความช่วยเหลือนี้อาจรวมค่าใช้จ่ายสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 39.21 ล้านนล้านบาท)

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม