ยังไม่สั่งพักราชการบิ๊กโจ๊ก บิ๊กต่ายเผยมีขั้นตอนตรวจสอบตามระเบียบ

3 เม.ย. 67

บิ๊กต่าย เผย ยังไม่สั่งพักราชการ บิ๊กโจ๊ก เหตุมีขั้นตอนตรวจสอบตามระเบียบ สตช. ยืนยัน ไม่หนักใจ - ไม่มีการยื้อเวลา ตั้งเป้า กวาดบ้านให้สำเร็จ หวังดึงประชาชนกลับมาศรัทธา

พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยก่อนเข้าพบนายกรัฐมนตรี ว่า วันนี้มารายงานความคืบหน้าเรื่องการสืบสวนปราบปราม และจับกุม ตามนโยบายและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ทั้งเรื่องยาเสพติด พนันออนไลน์ บ่อนการพนัน การมั่วสุมและการทวงหนี้นอกระบบ รวมถึงรายงานขั้นตอนกระบวนการที่จะพิจารณากรณีของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

เมื่อถามว่าจำเป็นจะต้องให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หยุดปฎิบัติหน้าที่ก่อนหรือไม่นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ทุกอย่างมีกระบวนการขั้นตอนที่จะพิจารณา จะพิจารณาว่าเอาแบบนี้เลยไม่ได้ มีกฎหมายระเบียบและคำสั่งที่ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องปฏิบัติ โดยเราแยกเรื่องการปฎิบัติหน้าที่ก่อน ซึ่งปัจจุบัน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปปฎิบัติหน้าที่ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่คำสั่งดังกล่าวระบุไว้ชัดเจนว่าการรับเงินเดือน เงินพิเศษ เงินประจำตำแหน่ง และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้รับจากต้นสังกัด ดังนั้นตนยังเป็นผู้บังคับบัญชาของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตามกฎหมาย ดังนั้นในการพิจารณาเรื่องวินัย เป็นหน้าที่ของตนตามมาตรา 105 ของกฎหมายตำรวจ

สำหรับกระบวนการขั้นตอนได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนของนครบาล 1 ฉบับ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการรายงานมา ส่วนฉบับที่ 2 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะต้องรายงานตนต้องคดี ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นไปตามระเบียบตำรวจ ไม่เกี่ยวกับคดี มีกำหนดไว้อย่างชัดเจน เมื่อรายงานทั้งสองฉบับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องรายงานมาที่กองคดีอาญาไม่ได้ตรงมาที่ตน เมื่อกองคดีอาญาได้รวบรวมรายงานแล้วก็จะรายงานมาที่ตนเพื่อพิจารณา แต่ในขณะเดียวกันกองวินัยก็จะต้องรายงานตนเช่นกัน โดยนำรายงานทั้งสองฉบับซึ่งประกอบไปด้วยเหตุพฤติการณ์ ความรุนแรงแห่งคดีนำมาประกอบการพิจารณาในฐานะฝ่ายอำนวยการให้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณา ซึ่งในการพิจารณาจะดูว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำผิดวินัยเกิดขึ้นหรือไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 2565 เมื่อกองวินัยประมวลขึ้นมาว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำผิดวินัย ก็เป็นเรื่องของตนในฐานะผู้บังคับบัญชา จะต้องพิจารณาว่า ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏ และให้โอกาสผู้ถูกสืบสวนข้อเท็จจริงได้ชี้แจง ซึ่งในขั้นตอนการสืบสวนข้อเท็จจริงจะยังไม่มีการพิจารณาการพักราชการ ออกจากราชการหรือสำรองราชการไว้ก่อน เพราะเป็นการปฏิบัติภายใต้กฎ ก.ตร. ที่กำหนดไว้ การสืบสวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการจะต้องใช้ระดับที่มียศไม่ต่ำกว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งตนจะต้องไปพิจารณาว่าจะต้องมอบใครแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่หากการสืบสวนข้อเท็จจริงปรากฏเหตุว่ามีการกระทำผิดวินัยร้ายแรงเกิดขึ้น ก็จะเข้าอีกบทบัญญัติของมาตรา 119 ในพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติว่าจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยอีกระดับหนึ่ง ในขั้นตอนนั้น จะเป็นการพิจารณาว่าเข้าเงื่อนไขในกฎ ก.ตร.หรือไม่ เข้าองค์ประกอบที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตำรวจปี 2565 มาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งมีกำหนดไว้อยู่แล้ว ตนจะไม่ใช้ดุลพินิจที่นอกเหนือไปกว่านี้เลย โดยจะนำมาประกอบการพิจารณา ว่าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยจะต้องให้พักราชการ ให้ออก หรือสำรองราชการหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนของการให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง อยากให้แยกระหว่างเรื่องอาญา และวินัย

เมื่อถามว่ากรณีที่ศาลออกหมายจับซึ่งมีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าอาจจะมีความผิดจะต้องนำคำสั่งศาลมาประกอบการพิจารณาด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ทุกอย่างกองวินัยจะนำมาประกอบการพิจารณา ซึ่งมีกำหนดไว้อยู่แล้วว่าผู้ชี้แจง ผู้รายงานตนต้องคดีอาญาจะต้องรายงานอะไรบ้าง หากถามว่าตอนนี้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะต้องถูกพักราชการหรือไม่ ตนขอเรียนว่า ไม่ว่าจะเป็นชั้นยศใด จะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบและคำสั่ง ซึ่งข้าราชการตำรวจทุกคนต้องปฏิบัติตามนั้น ยังถือว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังคงต้องปฏิบัติราชการอยู่เป็นปกติ นี่คือสิ่งที่เราต้องให้ความเสมอภาคและเป็นธรรมกับข้าราชการทุกคนเท่าเทียมกัน

ส่วนวันนี้ที่ตนมาจะมารายงานนายกรัฐมนตรีเรื่องความคืบหน้าในสิ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ว่าต้องไม่มีบ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ต้องหายไป แก๊งทวงหนี้ที่ทำผิดกฎหมายต้องถูกจับ เรื่องยาเสพติดจะต้องถูกปราบปรามอย่างจริงจัง โดยใช้มาตรการทางกฎหมาย และหากพบว่าข้าราชการคนไหนเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็ต้องพิจารณาตามขั้นตอน อยากให้สื่อมวลชนและทุกคน มุ่งหน้าไปสู่การทำให้ประชาชนเชื่อมั่น และไม่เกิดความหวาดระแวงกับสิ่งผิดกฎหมายเหล่านี้ดีกว่า ส่วนเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

ส่วนกรอบเวลาการทำงานทั้งสองกรณี กฎก.ตร. กำหนดไว้ภายใน 60 วัน ที่จะต้องดำเนินการ และขอขยายเวลาออกไป ซึ่งคณะกรรมการรู้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่าจะเป็นการยื้อเวลาหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า อย่าใช้คำว่ายื้อ ทุกอย่างมีขั้นตอนที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน เราต้องให้ความเสมอภาคเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เมื่อวานสื่อมวลชนก็ได้ยินพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขณะนี้ท่านยังบริสุทธิ์ ก็ต้องพิสูจน์กันไป ส่วนตนเป็นผู้บังคับบัญชา ก็เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติ

เมื่อถามว่ากรณีนายกรัฐมนตรีกำชับกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท.ให้จับกุมตัวการใหญ่ให้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ภายใน 30 วัน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า เป็นการสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งคำว่ารายใหญ่ไม่ใช่การจับกุมเว็บขนาดใหญ่ ซึ่งแต่ละเว็บไซต์จะมีโครงสร้างต้องไปดูว่าใหญ่แค่ไหนและผู้เกี่ยวข้องเป็นใคร ต้องทลายไปยังตัวระดับล่างทั้งหมด ซึ่งตนได้สั่งการไปยัง พล.ต.อ.ธนา ชูวงษ์ รองผบ.ตร. และพล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. กรณีที่นายกรัฐมนตรีสั่งการว่าภายใน 30 วัน บช.สอท.ต้องปฏิบัติให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและทำให้ได้

ส่วนกรณีที่ถูกมองว่าเรื่องความขัดแย้งระหว่าง 2 นายตำรวจเกิดขึ้นหลังเปลี่ยนขั้วรัฐบาล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนไม่มีความเห็นเรื่องนี้ ตนเดินหน้าทำงาน จะมีข่าวสารอะไรมากระทบตนไม่ตอบโต้และไม่ยุ่ง ขอเดินหน้าทำงานให้เกิดความสงบร่มเย็นกับประชาชน

เมื่อถามว่า หนักใจหรือไม่กับการทำหน้าที่บนความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ไม่มีอะไรหนักใจเลย อยากทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและผลสะท้อนกลับไปสู่ประชาชน ให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ลดความหวาดระแวง และจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นและศรัทธาเราโดยอัตโนมัติเอง

เมื่อถามว่าวันนี้ยิ่งถูกมองว่าองค์กรตำรวจขาดความศรัทธาจากประชาชน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ดูกันไปครับ เมื่อถามว่าสามารถกวาดบ้านของตัวเองได้หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นความมุ่งมั่นที่จะทำ เมื่อถามว่าได้เจอกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บ้างหรือยัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ยังไม่เจอใครเลย

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส