พล.ต.ต.ไพโรจน์ โต้ชื่อบิ๊กโจ๊กเอี่ยวเว็บพนันว่อนเน็ต ถูกดิสเครดิต

19 ก.พ. 67

พลตำรวจตรีไพโรจน์ โต้เดือดสำนวน บิ๊กโจ๊ก เอี่ยวเว็บพนันมินนี่ว่อนโซเชียล ลั่นถูกกลั่นแกล้งดิสเครดิต ยันไม่ถูกแจ้งข้อหา เตรียมฟ้องกลับ

 

19 ก.พ. 67 พลตำรวจตรี ไพโรจน์ กุจีระพันธ์ นายกสมาคมพนักงานสอบสวน แถลงข่าวกรณีภายหลังปรากฎข่าวสารรายละเอียดสำนวนการสอบสวนคดีเว็บพนันมินนี่ ที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนฟ้องให้อัยการและมีรายละเอียดพาดพิงการดำเนิน 5 นายตำรวจ ว่าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ขยายผลพบพยานหลักฐาน และผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ ผู้ต้องหาข้างต้นในคดีเพิ่มเติม จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีข้าราชการตำรวจอีก 5 นาย ซึ่งมีทั้ง

1. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

2. พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ข้าราชการบำนาญ นายกสมาคมพนักงานสอบสวน
3. พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม.
4. พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี
5. ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผบ.หมู่ สายตรวจ 3 บก.จร.บช.น.

โดย พล.ต.ต.ไพโรจน์ ระบุว่า กรณีที่ปรากฎข่าวสารออกไปว่า มีการสั่งฟ้อง รวมถึงข้อมูลรายงานข่าวว่าดำเนินคดีเพิ่มเติมอีก 5นาย มองว่า สื่อมวลชนจะไม่สามารถรู้ได้ หากพนักงานสอบสวนไม่ได้ปล่อยออกข้อมูลออกมา และเมื่อข่าวออกไปจากใครไม่รู้ ซึ่งตนเองเชื่อว่ามาจากคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน แน่นอน

และก่อนหน้านี้ที่สื่อจะนำเสนอ ก็มีหนังสือฉบับนั้นออกมาว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีเอี่ยวแชร์ในสื่อออนไลน์จำนวนมาก แต่ไม่มีใครกล้าลง ซึ่งทำให้ประชาชนเข้าถึงโดยไม่ได้ตรวจสอบ ตนเองไม่ได้โทษสื่อมวลชน แต่ตั้งคำถามว่า ความลับทางราชการ มีเรื่องของจรรยาบรรณตำรวจปรากฎอยู่ ที่ระบุว่า ข้าราชการตำรวจต้องรักษาความลับของทางราขการและความลับในการปฏิบัติหน้าที่ฯ ซึ่งจะนำข้อมูลมาเปิดเผยไม่ได้

ทั้งนี้ ตามจริยธรรมตำรวจ เมื่อมีการปล่อยข้อมูลออกไปทำให้ตนเองเสียหายในสิทธิและเสรีภาพ ทำให้ชื่อเสียงเสียงหาย และคดีนี้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนมีเป็นร้อยคน การทำความเห็นต้องทำเป็นรูปคณะกรรมการ เพราะคนทำความเห็นต้องรับผิดชอบ เพราะหากใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ก็เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเช่นกัน ดังนั้นการที่ตนเองออกมาเพื่อเรียกร้องว่าเมื่อพนักงานสอบสวนเห็นอะไรที่มิชอบ จะต้องกล้ายืนหยัดและกล้าที่จะสู้ กล้าที่จะทำความเห็นแย้งไป

ส่วนขั้นตอนการสอบสวน พล.ต.ต.ไพโรจน์ อธิบายว่า สำนวนตำรวจ 5 คน ได้ส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณา และ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างการตั้งเรื่องไต่สวน

ทั้งนี้เมื่อมีการนำเสนอข่าวออกไปแล้ว อาจจะทำให้คนเชื่อว่า พล.ต.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถูกแจ้งข้อหาผิดไปแล้ว แต่ตนเองอยากจะชี้แจงว่า ขณะนี้เรื่องยังอยู่ในชั้นของ ป.ป.ช. และยังไม่ถือว่ามีความผิด เพราะยังไม่มีการชี้มูล และขณะนี้ ป.ป.ช. ก็ยังไม่ได้ส่งเรื่องคืนมาที่พนักงานสอบสวน ทำให้คณะพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจเรียกใครไปแจ้งข้อหา ไม่มีอำนาจเรียกใครไปสอบสวน
เพราะตามกฎหมายพนักงานสอบสวนหมดอำนาจการสอบสวนแล้ว

ส่วนกรณีของ ตำรวจ 8 นาย ที่ถูกกล่าวหาในคดีมินนี่ พนักงานสอบสวนก็หมดอำนาจสอบสวนแล้วเช่นกัน เพราะสำนวนส่งให้อัยการแล้ว จะสอบได้ก็ต่อเมื่อพนักงานอัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติม

และมองว่า พนักงานสอบสวนจะเรียก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สอบได้ คือ พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวน เป็นการสอบเพิ่มเติมในฐานะพยาน ซึ่งตนเองก็อยากจะถามคณะพนักงานสอบสวนด้วย ว่า เห็นหนังสือการสั่งสอบเพิ่มเติมหรือยัง แล้วช่วยทำให้สำนวนสอบเพิ่มเติมเสร็จสิ้นโดยไว เพราะอยากให้เป็นไปในรูปของกระบวนการยุติธรรมด้วย

นายไพโรจน์ ยังชี้แจงว่า ตนเองได้รับเงินจาก รองโจ๊ก เดือนละ 50,000 บาท ในฐานะที่ปรึกษา เพราะรองโจ๊กตั้งมาเป็นที่ปรึกษา ก็เป็นการให้เงินไปทำงาน และตามรายชื่อผู้ถูกกล่าวหา ได้รับเงินจาก รองโจ๊ก ที่ให้เงินไปทำงาน แล้วเหตุใดไปชี้ว่า ตนเองผิด ทั้งที่อีกคนรับเงินเหมือนกันแต่ไม่ผิด ทั้งนี้จึงมองว่า เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่

“ผม บอกว่ารับเงินจากรองโจ๊กมาทำงาน 3 คนบอก รับเงินจากรองโจ๊กมาทำงาน และอีกหลายคนก็บอกว่า ได้เงินจากรองโจ๊กมาทำงาน เหตุใดจึงไม่เชิญ รองโจ๊กมาสอบในฐานะพยาน”

และหากดูรายงานการสอบสวน และคำสั่งสอบเพิ่มเติม จะทำให้เห็นเลยว่า สำนวนนี้บกพร่องและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างไร เพราะสิ่งที่อัยการสั่งสอบเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนไม่นำมาพิจารณา และไม่สอบเพิ่มเติมเข้าไป แต่ไปทำสำนวนส่ง ป.ป.ช. ซึ่งส่วนตัวจึงมองว่า เป็นการทำให้เห็นว่า ‘มีธง ต้องการดิสเครดิต และใช้อำนาจตามกฎหมายที่มิชอบ’

ดังนั้นสิ่งที่ตนเองจะดำเนินการหลังจากนี้ เมื่อมีการปล่อยข้อมูลออกมา ก็ทำให้ตนเองถูกสังคมตราหน้าว่าถูกดำเนินคดีแจ้งข้อหาไปแล้วด้วย วันนี้ตนเองจะไปยื่นให้ตรวจสอบการทำงานของคณะพนักงานสอบสวน และตรวจสอบว่าหนังสือสำนวนหลุดมาได้อย่างไร หลุดมาจากใคร และทำออกมาเผยแพร่เพื่ออะไร

และในวันพรุ่งนี้ 10.00 น.จะไปยื่น ป.ป.ช. เรียกรายงานการสอบสวนเพิ่มเติมมาดู ว่าทำไมพนักงานสอบสวนถึงไม่ทำ
รวมถึงหลังจากนี้ตนเองจะใช้สิทธิทางกฎหมาย ในการฟ้องกลับ คณะพนักงานสอบสวนด้วย เพราะไม่ใช่ว่าจะเป็นการเอามาดิสเครดิตคนบางคน ที่เป็นเหมือนเกมการเมืองมากกว่าการทำสำนวนการสอบสวน

พล.ต.ต.ไพโรจน์ ยังบอกอีกว่า ที่ตนเองมั่นใจว่าเป็นพนักงานสอบสวนเป็นคนปล่อยสำนวนนั้น เพราะเห็นบันทึกข้อความ เป็นบันทึกข้อความที่เสนอหัวหน้าพนักงานสอบสวน จึงเป็นการหลุดมาจากพนักงานสอบสวนแน่นอน

ส่วนมีเจตนาปล่อยหรือไม่นั้น มองว่า กฎหมายไม่ได้ซับซ้อน แล้วที่ปล่อยมาช่วงนี้ ก็มองว่าอาจจะต้องมีการเรียกรองโจ๊กไปสอบในฐานะพยาน เพราะเชื่อว่าอัยการสั่งให้สอบ แต่จะเรียกไปสอบยังไงให้มีข่าว ให้เป็นประเด็น และเชื่อว่า เป็นการต้องการดิสเครดิตรองโจ๊ก

ส่วนกรณีที่ สอท.จะเรียกรองโจ๊กไปสอบปากคำวันพรุ่งนี้นั้น ก็มองว่า ถ้าเรียกไปสอบใช้อำนาจอะไรเรียก เรียกไปในฐานะอะไร เรียกเพราะอะไร เรียกเพราะอันการสั่งสอบหรือไม่ ต้องชี้แจงให้ชัด

ซึ่งตนเองไม่รู้ว่าเป็นการเรียกสอบยังไง แต่เชื่อว่า เป็นเพราะพนักงานอัยการสั่งให้เรียกสอบ และนี่ก็เป็นข้อบกพร่องที่ทำไมไม่เรียกรองโจ๊กสอบตั้งแต่แรก ต้องให้อัยการสั่ง

พล.ต.ต.ไพโรจน์ ยอมรับว่าด้วยว่า มีตำรวจในคณะพนักงานสอบสวน โทรไปให้ 1 ใน 8 ตำรวจที่ถูกดำเนินคดีกลับคำให้การ ตามที่มีปรากฎเป็นคลิปหลุดออก แต่กับตนเองไม่เคยมีใครติดต่อมา และมองว่าที่ทำแบบนั้น คงเพราะไม่รู้จะหาอะไรมาเป็นพยานแล้ว และบ่งบอกถึงความไม่สุจริตในการสอบสวน เพราะถ้าสุจริตคงไม่โทรไป

พร้อมยืนยันว่า การแถลงข่าววันนี้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นคน ไม่ใช่แค่ปกป้องรองโจ๊กหรือใคร แต่เป็นการปกป้องสิทธิและเสรีภาพ.

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส