3 ทายาทหมื่นล้านร้องสื่อ พินัยกรรมพ่อผิดปกติ โดนตัดจากกองมรดกยกให้พี่คนโตคนเดียว

14 ก.พ. 67

3 ทายาทตระกูลดังโคราช เล่าพิรุธพินัยกรรมพ่อหลังระบุตัดพวกตนออกจากกองมรดกและยกทั้งหมดให้กับพี่ชายคนโต คาดเซ็นตอนพ่อมีอาการป่วยอัลไซเมอร์ พร้อมโชว์ใบรับรองแพทย์ แจงไทม์ไลน์ชัด

จากกรณีลูกชายคนรอง 3 คน ของทายาทของ “นายมุข” เจ้าสัวนามสกุลดัง ซึ่งมีลูกชายทั้งหมด 4 คน และรวยระดับหมื่นล้าน เจ้าของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา โดย 3 คนดังกล่าวประกอบด้วย นายกิตติ นายจักริน นายสมรัฐ พร้อมด้วยทีมทนายความได้ออกมาขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน ให้ช่วยกันตรวจสอบพฤติกรรมอันไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง โดยเฉพาะการทำพินัยกรรมที่ระบุมอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับลูกชายคนโตเพียงคนเดียว และการถ่ายโอนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินหลายแปลงก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตเมื่อธันวาคม 2566 รวมไปถึงการตัดทายาทที่เป็นลูกชายคนรองทั้ง 3 คนที่ออกมาร้อง ซึ่งเป็นลูกที่ชอบด้วยกฎหมายออกจากกองมรดก

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2566 “นายมุข” ได้เสียชีวิตด้วยอาการติดเชื้อที่ปอดในวัย 91 ปี หลังจากนั้นวันที่ 22 มกราคม 2567 ครอบครัวได้ทำการเปิดพินัยกรรม ซึ่งทราบว่า “นายมุข” ได้มีการทำขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2564 แต่ที่ทำให้ทายาทบางส่วนเกิดข้อสงสัยคือในพินัยกรรมกลับระบุว่า “นายมุข” ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดให้กับลูกชายคนโตเพียงคนเดียว

1707871261849

ทายาททั้ง 3 ได้เล่าถึงข้อพิรุธของการเขียนพินัยกรรมฉบับนี้ว่า เมื่อปลายปี 2563 แพทย์ได้วินิจฉัยว่าคุณพ่อป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ รวมถึงสติสัมปชัญญะก็ไม่เหมือนเดิม ถึงขั้นจำลูกตัวเองไม่ได้ ทำให้ครอบครัวได้พาคุณพ่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งช่วงแรกๆ พวกตนก็สามารถพาครอบครัวเข้าไปเยี่ยมได้ แต่พักหลังด้านลูกชายคนโตกลับปิดกั้นไม่ให้ลูกชายคนรองทั้ง 3 คนเข้าไปดูแล แม้กระทั่งเข้าเยี่ยม พบเจอหรือพูดคุยก็ถูกกีดกันทั้งหมด จึงทำให้ทั้ง 3 คนไม่รู้เลยว่าลูกชายคนโตทำอะไรกับพ่อบ้างหรือดูแลกันแบบไหน เนื่องจากลูกชายคนโตจ้างพยาบาลให้เข้ามาดูแล 24 ชั่วโมง

หลังจากพ่อรักษามาได้พักนึง วันที่ 7 มิถุนายน 2564 ทราบว่าลูกชายคนโตได้เข้าไปติดต่อกับแพทย์เพื่อขอใบรับรองแพทย์ของพ่อ ซึ่งผลแพทย์ระบุว่า “เป็นโรคสมองเสื่อม ไม่สามารถทำธุรกรรมหรือนิติกรรมใดๆได้” ดังนั้นเป็นที่ชัดเจนอาการของ “นายมุข” และผลวินิจฉัยแพทย์นี้ ปรากฏสู่ทายาททั้งหมดก่อนที่จะมีการทำพินัยกรรมในเดือนกันยายน 2564

แล้วหลังจากนั้นผลการรักษาของพ่อก็ถูกวินิจฉัยโดยแพทย์ออกมาเรื่อยๆ ตามช่วงเวลา คือวันที่ 14 ตุลาคม 2564 แพทย์วินิจฉัยว่า “ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้และเป็นผู้ป่วยติดเตียง” วันที่ 1 ธันวาคม 2564 ใบรับรองแพทย์ระบุว่า “สูญเสียสมรรถภาพทางสมอง ทำกิจวัตรประจำวันไม่ได้” และวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 แพทย์วินิจฉัยว่า “เป็นอัลไซเมอร์ไม่สามารถทำทุรกรรมได้"

1707871281843

นอกจากนี้ทายาททั้ง 3 คนยังได้พูดประเด็นที่มีการถ่ายคลิปวิดีโอของนายมุขขณะเซ็นเอกสารบนวีลแชร์ เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 ตนเองยอมรับว่ามีการนัดแนะกับคนขับรถคนเก่าเพื่อเอาเอกสารจำลอง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับพินัยกรรม เพียงแค่รับรู้ว่ามีความไม่ชอบมาพากล หลังพ่อเริ่มมีอาการป่วย จึงอยากทดสอบว่าสติสัมปชัญญะและสมรรถภาพในการทำความเข้าใจกับเอกสารต่างๆ ว่า ยังปกติอยู่หรือไหม ซึ่งปรากฏตามคลิปว่าทุกครั้งที่จะมีการเซ็นเอกสารจะต้องมีคนคอยชี้แนะหรือบางครั้งต้องมีการจับมือไปวางที่จุดที่จะเซ็น ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในชั้นศาลแต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังพบข้อสงสัยอีกหลายอย่างในนิติกรรมของนายมุขที่ถูกทำในช่วงปี 2565-2566 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่แพทย์วินิจฉัยแล้วเช่นกันว่า นายมุขป่วยเป็นอัลไซเมอร์ ไม่สามารถทำนิติกรรมได้ เช่น จู่ๆ เงินกองทุนของพ่อจำนวน 134 ล้านบาท ก็ถูกถอนออกจนหมดภายในระยะเวลา 6 เดือน รวมประมาณ 4 ครั้งก่อนพ่อเสียชีวิตคือ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 วันที่ 31 มกราคม 2566 วันที่ 31 มีนาคม 2566 และวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ด้วยการทยอยถอนครั้งละ 30-40 ล้านบาท และปัจจุบันยังไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นคนถอน ไม่รู้ด้วยว่าเงินจำนวนดังกล่าวหายไปไหนหรือถูกนำเข้าบัญชีใคร

1707871660354

1707871667163

ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีการโอนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่ดินของพ่อจำนวนกว่า 300 ไร่ ตีเป็นมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท โดยใช้วิธีการปั๊มลายนิ้วมือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา

ทั้งนี้ยังมีการลงนามด้วยลายเซ็นของพ่อเพื่อมอบอำนาจและโอนสิทธิบัตรผู้ได้รับอนุญาตสถาบันหรือเรียกง่ายๆ ว่ามีการเปลี่ยนชื่อผู้เป็นเจ้าของสถาบันทั้ง 3 แห่ง คือโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยใน จ.นครราชสีมา จากเดิมเป็นชื่อของนายมุขเป็นชื่อภรรยา

1707871675707

พวกตนเชื่อว่าพินัยกรรมถูกเขียนโดยทนายความระบุว่า "ถ้าข้าพเจ้าถึงแก้ความตายแล้ว บรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีอยู่และเกิดขึ้นในภายหน้า ข้าพเจ้าขอยกให้นาย…(ลูกชายคนโต) แค่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอตัดมิให้บุคคลดังต่อไปนี้รับมรดกของข้าพเจ้า 1.นายกิตติ 2.นายจักริน 3.นายสมรัฐ ในขณะที่ข้าพเจ้าทำพินัยกรรมฉบับนี้มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต บุคคลไร้ความสามารถและบุคคลเสมือนไร้ความสามารถอีกทั้งไม่เคยทำพินัยกรรมมาก่อน"

1707871394335

แล้วนายมุขเซ็นด้านล่างนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่พ่อมีอาการป่วย สังเกตจากลายเซ็นของพ่อบริเวณใบแปะหน้าซองกับในตัวเอกสารพินัยกรรม มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งที่เขียนวันเดียวกันคือ 2 กันยายน 2564 โดยถ้าสังเกตจะเห็นว่าที่ใบแปะหน้าซอง เส้นโค้งหน้าจะแคบกว่า ด้านล่างจะตวัดทับหัวพยัญชนะ ตรงกลางมีเส้นทับซ้อนพันกันมากกว่า ซึ่งพวกได้ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านลายเซ็นมาตรวจสอบแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นลายเซ็นของพ่อจริง แต่ที่มีความแตกต่างนั้น พวกตนเชื่อว่าพ่อเซ็นด้วยภาวะที่ไม่มีสติสติสัมปชัญญะ

พิรุธอีกอย่างหลังพ่อเสียชีวิต คือเนื่องจากพ่อนั้นเป็นคนเชื้อสายจีนโดยกำเนิด ตามปกติเมื่อเสียชีวิตแล้วจะต้องนำศพไปฝังไว้ที่ฮวงจุ้ย ซึ่งก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตก็ได้ซื้อที่ดินไว้และแจ้งความประสงค์กับครอบครัวว่าต้องการจะฝังร่างไว้ตรงที่ดินดังกล่าวและทำเป็นฮวงจุ้ย แต่กลายเป็นว่าพี่ลูกชายคนโตกลับนำร่างพ่อฌาปนกิจศพ แทนที่จะฝังตามที่พ่อเคยสั่งเสียไว้

1707872739294

นอกจากนี้ทั้ง 3 คนยังเล่าย้อนว่าก่อนที่พ่อจะมีอาการป่วย ลูกชายทั้ง 4 คนจะมีหน้าที่บริหารธุรกิจเกี่ยวกับสถานศึกษาทั้ง 3 แห่งโดยมีหน้าที่แตกต่างกันไปและคอยประชุมหาทางออกเมื่อเจอปัญหา หรือถ้ามีปัญหากันภายในวงประชุมพ่อก็จะเป็นคนตัดสินใจและหาทางออกให้ เนื่องจากพ่อเคยบอกเสมอว่าพ่อมีลูกชาย 4 คน ก็เหมือนกับเสาสี่ต้นที่ต้องเป็นหลักให้กับวงศ์ตระกูล ดังนั้นจะไม่สามารถขาดเสาต้นใดต้นหนึ่งไปได้ แต่หลังจากที่พ่อป่วย แม่ก็จะเข้ามาทำหน้าที่แทนพ่อ โดยช่วงแรกๆ ทุกครั้งที่มีการประชุมก็จะปิดจบได้ดี แต่พักหลังมาเริ่มมีกพฤติกรรมแปลกๆ คือหลังผ่านวันประชุมไปประมาณ 1-2 วันแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ที่มีการสรุปในวงประชุม ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อนข้างเอื้อผลประโยชน์ให้กับลูกชายคนโต แต่จนถึงปัจจุบันพวกตนทั้ง 3 คนก็ยังเป็นบุคลากรในธุรกิจสถาบันการศึกษาทั้ง 3 ที่ของพ่ออยู่ แต่ไม่ได้รับเงินเดือน เนื่องจากหลังพ่อเสียชีวิตทางคณะกรรมการชุดใหม่ได้มีการตั้งกฎระเบียบบังคับให้บุคลากรทุกคนรวมถึงพวกตนทั้ง 3 คนต้องมาสแกนนิ้วเข้าและออกที่มหาวิทยาลัย ทั้งที่พวกตนบางคนสอนอยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งเมื่อสมัยที่พ่อยังมีชีวิต ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ จึงรู้สึกว่ากำลังถูกบีบบังคับให้ออกจากระบบ

1707871234585

พวกตนขอยืนยันว่าช่วงที่พ่อมีชีวิตอยู่พ่อไม่เคยพูดถึงเรื่องการแบ่งพินัยกรรมเพราะพ่อเน้นย้ำเสมอว่าให้ลูกชายทั้ง 4 คนช่วยกันดูแลบริหารธุรกิจสถาบันการศึกษาที่มีอยู่ทั้งหมด เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วพวกตนอยากให้เรื่องมันจบด้วยดีด้วยการเข้ามาพูดคุยเจรจากันแบบพี่น้อง โดยไม่ต้องมีบุคคลภายนอกซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวงศ์ตระกูลเข้ามายุ่งเกี่ยว

ขณะเดียวกันที่ปรึกษาลูกชายคนโตโต้กลับ เงิน 134 ล้าน ส่วนหนึ่งยังปลอดภัยดี พรุ่งนี้แม่และลูกชายโต พร้อมเคลียร์ทุกประเด็น ลั่นปมเจ้าสัวตัด 3 ทายาทออกจากมรดก เพราะพฤติกรรมร้ายแรง

“นายสนธยา อ่อนน่วม” ที่ปรึกษาของลูกชายคนโต “นายมุข” ยืนยันว่าเอกสารการแพทย์ที่ 3 ทายาทนำมาเปิดเผย ไม่ใช่ใบรับรองแพทย์ที่ขอจากโรงพยาบาลที่นายมุขทำการรักษา แต่เป็นใบจ่ายยาตามอาการเท่านั้น ซึ่งเรื่องใบรับรองแพทย์นี้หลังจากที่มีการฟ้องร้องกันในศาลได้เบิกตัวแพทย์ที่ทำการรักษามาให้ข้อมูล แพทย์ได้ให้ความเห็นว่าเอกสารดังกล่าวเป็นการรักษาและจ่ายยาตามอาการ ศาลพิจารณาว่าเอกสารดังกล่าวใช้ไม่ได้หลังเบิกตัวแพทย์มาให้ความเห็น อีกทั้งให้ลูกชายทั้ง 3 คนกราบขอโทษแม่ต่อหน้าบัลลังก์ นายสนธยายืนยันอีกว่าฝ่ายลูกชายคนโตไม่ได้เป็นคนไปขอใบรับรองแพทย์

1707871568005

ส่วนกรณีที่มีคลิปวิดีโอว่าฝ่ายทางทายาททั้ง 3 คนได้ไปดักรอพบที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง ตนเองก็ยังยืนยันคำเดิมว่าทั้งหมดเป็นการวางแผนและเป็นการจัดฉากและเป็นการเตรียมการกับคนขับรถให้พานายมุขไปนัดเจอตามสถานที่ก่อนจะมีการถ่ายคลิปวิดีโอไว้ เพื่อใช้ในชั้นศาล

ส่วนประเด็นที่ก่อนหน้านี้ทางทายาท 3 คนกล่าวอ้างว่าได้มีการปิดกั้นประตูไม่ให้ทั้ง 3 คนเข้าไปเยี่ยมพ่อนั้น ไม่เป็นความจริงตามภาพที่ปรากฏเป็นเพียงการซ่อมผิวถนนทางเข้าบ้าน เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจึงได้มีการปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้รถเข้าออก และล่าสุดประตูดังกล่าวก็ได้เปิดใช้การนานแล้ว

และที่สามทายาทตั้งข้อสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงมีรายชื่อเป็นพยานปรากฏบนใบปะหน้าซองนำฝากพินัยกรรม เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นคนเซ็นจริงแต่เป็นการเซ็นหลังจากมีการปิดผนึกพินัยกรรมแล้ว เพราะฉะนั้นตนยืนยันว่าไม่ได้เห็นรายละเอียดที่ระบุในพินัยกรรมตั้งแต่แรก มาเห็นอีกทีคือหลังจากมีการเปิดพินัยกรรมพร้อมกันเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567

1707872692229

เมื่อทีมข่าวถามว่าทำไมในรายละเอียดพินัยกรรมถึงระบุชัดเจนว่าตัดสามทายาทที่ออกมาร้องเรียนออกจากกองมรดก เจ้าตัวบอกว่าในส่วนของรายละเอียดทั้งหมดอยากให้รอคำชี้แจงจากแม่หรือภรรยาของ “นายมุข” แต่เท่าที่ตนสามารถบอกได้คือเกิดจากที่นายมุขไม่พอใจในพฤติกรรมหลายอย่างของลูกทั้งสามคน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้มากๆ จึงตัดสินใจระบุในพินัยกรรมเช่นนั้นและถ้าเป็นผม ผมก็ตัดออกจากกองมรดกเหมือนกันและมากกว่านั้นด้วย

ส่วนเงินจำนวน 134 ล้านบาท ที่ถูกถอนออกจากกองทุนของนายมุขนั้น เจ้าตัวยืนยันว่ามีการถอนจริงและถอนออกอย่างถูกต้อง แต่ภายหลังมีเงินบางส่วนถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ซึ่งจะมีการชี้แจงรายละเอียด แต่ขณะเดียวกันเงินส่วนที่เหลือยังอยู่ครบแต่ขอไม่ระบุจำนวนเพราะเกรงว่าจะกระทบรูปคดี

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ทุบโต๊ะข่าว เป็นกระแส