ชาวบ้านยืนยัน รีสอร์ตภูทับเบิก ที่จนท.จะรื้อ ไม่อยู่ในพื้นที่อุทยาน

25 ม.ค. 67

ภูทับเบิกหวิดปะทะ ชาวบ้านฮือต้าน จนท.จะเข้ารื้อถอนรีสอร์ตรุกอุทยานฯ ชาวบ้านยืนยันพื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่ของกรมอุทยานฯ และไม่เคยมีหนังสือส่งมาชุมชน ว่าจะมีการขยายพื้นที่

ผู้สื่อข่าวอมรินทร์ลงพื้นที่จุดที่เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 67 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยาน กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช  สนธิกำลังกับอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า และฝ่ายปกครองรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจในการลงพื้นที่เพื่อดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่มีการก่อสร้างรุกล้ำพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ  ซึ่งได้มีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 200 นายลงพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอน แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่ลงไปที่มาถึงพบว่ามีชาวบ้านรวมตัวกันประมาณ 30 ถึง 50 คนปิดทางเข้าออกไม่ให้เจ้าหน้าที่ขึ้นไปบริเวณรีสอร์ทดังกล่าวเพื่อทำการรื้อถอน ซึ่งเมื่อวานนี้สถานการณ์ค่อนข้างที่จะตึงเครียดแต่ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด

ซึ่งถ้ามองจากภาพมุมสูงจะเห็นได้ว่า ฝั่งหนึ่งเป็นพื้นที่ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชส่วนอีกฝั่งเป็นพื้นที่ของกรมป่าไม้และมีรีสอร์ทอยู่บริเวณ 2 รีสอร์ท ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ตรงกลาง  คือ ภูทับเบิกสวนสวรรค์รีสอร์ท

และ กู๊ดวิว-ฮอตวิว ภูทับเบิก  ซึ่งบริเวณพื้นที่ที่มีการรุกล้ำข้อมูลจากทางเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ แจ้งว่ามีการรุกล้ำเป็นที่รวม ๆ ประมาณเกือบ 2 ไร่  โดยภูทับเบิกสวนสวรรค์รีสอร์ท  1 บุกรุก 1 ไร่ 2 งาน    และ กู๊ดวิว-ฮอตวิว ภูทับเบิก บุกรุก 2 งาน (รวมเนื้อที่ประมาณ 2ไร่) 

ซึ่งเมื่อวานนี้ทางเจ้าหน้าที่พยายามที่จะพูดคุยเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากทางชาวบ้าน  จึงต้องถอนกำลัง และเจ้าหน้าที่ได้เข้าแจ้งความกับทางตำรวจไว้แล้วกับชาวบ้านบางกลุ่ม ในข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่  และดูหมิ่นเจ้าหน้าที่

ส่วนชาวบ้านนั้นให้เหตุผลว่าที่ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและเกรงว่าจะถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่

เบื้องต้นต่อจากนี้ทางเจ้าหน้าที่จะได้มีการประชุมหารือพูดคุยเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการและปฏิบัติการหรือถอนสิ่งปลูกสร้างที่ได้มีการรุกล้ำพื้นที่ของกรมอุทยานต่อไป

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ขับรถขึ้นไปบนรีสอร์ทดังกล่าวปรากฏว่าบริเวณทางถนนนั้นได้มีการนำรั้วมากั้นปิดทางไว้ และได้มีการนำป้ายไวนิลมาขึงติดบริเวณรั้วเหล็กไว้ และระบุข้อความว่า  "ถนนส่วนบุคคลห้ามผ่าน"  โดยผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อเจ้าของรีสอร์ทไป แต่ไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นาย ลีซู (นามสมมติ) ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเองเป็นชาวบ้านในพื้นที่ โดยพื้นที่ตรงนี้เป็นที่นิคมสร้างตนเอง แล้ววันนี้ตนเองขอไม่ให้สัมภาษณ์เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ขับรถมาขู่ทั้งวัน โดยพื้นที่รีสอร์ทแห่งนี้อุทยานพึ่งมาประกาศทีหลัง ชาวบ้านนั้นทำกินมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยวันนี้เจ้าของรีสอร์ทไม่ได้อยู่ในพื้นที่แล้วเพราะว่ากลัวโดนอุ้ม โดยเจ้าของก็คือคนในพื้นที่ ยืนยันว่าไม่มีกลุ่มนายทุน ซึ่งที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินที่อยู่มากันตั้งแต่เกิดตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายเป็นที่ดินทำกิน และใช้ปลูกเป็นต้นกะหล่ำ แล้วเพิ่งมาทำเป็นรีสอร์ทเมื่อช่วงปี 2557 ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่เคยมีจดหมายหรือมาแจ้งว่าพื้นที่ตรงนี้บุกรุกพื้นที่ของ กรมอุทยาน  ยอมรับว่าขณะนี้ชาวบ้านหวาดกลัว นายชัยวัฒน์ฯ เป็นอย่างมากและไม่อยากให้ข้อมูลใดๆ

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นายฟา (นามสมมติ) ชาวบ้านอีกราย  ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่าพื้นที่แถวนี้ไม่มีโฉนดเลยสักหลัง  หรือแม้แต่พื้นที่เดียว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ให้ชาวบ้านทำกิน และมีอาณาเขตที่ไม่แน่นอน เพราะเป็นพื้นที่จัดสรรให้ทำกิน และอยู่อาศัย ตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่  ซึ่งตนเองก็ไม่ทราบว่าพื้นที่เหล่านี้เป็นของใครเพราะเป็นเพียงชาวบ้านตาดำๆอาศัยพื้นที่ทำกิน โดยปกติคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ก็จะใช้พื้นที่ในการปลูกกะหล่ำ  ยืนยันว่าตนเอง อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด และที่บ้านของตนก็ไม่มีโฉนดแต่ก็ไม่เคยมีปัญหาใดๆ  ส่วนกรณีที่รีสอร์ทนั้นถูกรื้อเนื่องจากบุกรุกพื้นที่ของกรมอุทยานนั้นตนเองก็คิดว่าน่าจะทำรุกล้ำ แนวเขตออกไป เพราะส่วนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่กันก็ไม่ได้มีปัญหาใด ๆ

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนาย มะหม่าว (นามสมมติ) คนใกล้ชิดกับเจ้าของรีสอร์ท  ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องนายทุนตนเองยืนยันว่าไม่มี มีแต่ชาวบ้านในพื้นที่ที่เก็บหอมรอมริบเงินจากการทำการเกษตร ไปใช้ในการก่อสร้างรีสอร์ท โดยก่อนหน้านี้ชาวบ้านเคยใช้พื้นที่ในการปลูกกะหล่ำแต่กะหล่ำก็ราคาตกต่ำ กิโลละ 1 บาท  ซึ่งชาวบ้านก็อยู่ไม่ได้  จึงได้เก็บเงินเพื่อมาสร้างเป็นรีสอร์ท เพื่อทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ซึ่งชาวบ้านบางรายเก็บเงินกันเป็น 10 ปี กว่าจะสร้างรีสอร์ทได้ ซึ่งก็ไม่ทราบว่าพื้นที่ไหนนั้นเป็นของใคร หรือรุกล้ำที่ดินของใครหรือไม่  หลังจากก่อสร้างรีสอร์ทเสร็จกลับถูกเจ้าหน้าที่มาสั่งให้รื้อถอน ชาวบ้านก็เดือดร้อนเพราะเก็บเงินมานานนับ 10 ปี กว่าจะสร้างได้ แต่ต้องมาทุบทำลาย ชาวบ้านจึงไม่ยอม

ตนเองมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากชาวบ้านไม่มีเอกสารสิทธิ์ใด ๆ และอยากจะฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ช่วยเข้ามาทำให้ชัดเจนว่าการที่จะมีการก่อสร้างรีสอร์ทนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าให้กลับไปทำกะหล่ำเหมือนเดิมตนเองก็ไม่อยากทำเนื่องจากราคานั้นตกต่ำ  แต่พอมาทำเป็นที่พักรองรับนักท่องเที่ยวปี 1 มีรายได้ 2-3 แสน ก็สามารถอยู่ได้ พอชาวบ้านในพื้นที่เห็นว่ามีรายได้  ก็พากันเก็บเงิน ในการทำที่พัก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เพื่อนำเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว แต่พอวันนี้เจ้าหน้าที่มากระทำแบบนี้ทำให้ตนเองรู้สึกว่าชาวบ้านในพื้นที่อยู่กันอย่างหวาดระแวง และกังวลไปทุกอย่างว่าทำแบบนี้แล้วจะผิดหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่ไม่มีความชัดเจนใดๆให้เลย  ยืนยันว่าไม่มีนายทุนมาเกี่ยวข้อง ซึ่งเงินที่ใช้สร้างรีสอร์ทเป็นเงินที่ชาวบ้านสะสมมากันทั้งชีวิตกว่าจะสร้างได้ แต่วันหนึ่งเจ้าหน้าที่เข้ามาบอกว่าบุกรุกและให้ทำลายทิ้งชาวบ้านก็หมดตัว

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นายบรรจง แซ่ท่อ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.บ้านเนิน อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ที่ดินผืนนี้เป็นที่ดินของกรมประชาสงเคราะห์ ไม่ใช่ที่ดินของอุทยาน ซึ่งเป็นพื้นที่นิคมชาวเขาจัดตั้งให้ชาวบ้านอยู่อาศัยและทำกิน เนื่องจากพื้นที่นี้เคยทำฝิ่นมาก่อน และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาทำเป็นกะหล่ำ ซึ่งตนอยากจะให้สื่อมวลชนออกข่าวให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้าน เนื่องจากออกข่าวเพียงด้านเดียวคือโจมตีแต่ชาวบ้าน ตนเองขอการันตีว่าพื้นที่ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่ของกรมอุทยานฯ และไม่เคยมีหนังสือส่งมาชุมชน ว่าจะมีการขยายพื้นที่

ซึ่งตนสังเกตว่าการที่เจ้าหน้าที่เข้ามาทำแนวเขตเป็นเส้นตรงเหมือนไม้บรรทัดขีด ตามความเป็นจริงซึ่งทำแบบนั้นไม่ได้ ซึ่งบริเวณบนเขาจะต้องมีหนองน้ำ ห้วยน้ำหรือที่นาต่างๆ หรือต้นไม้ โดยวันนี้ ที่เจ้าหน้าที่เข้ามาทำแบบนี้ซึ่งไม่เคยเข้ามาประชาคมชาวบ้านในชุมชนเลย

ตอนนี้ชาวบ้านเดือดร้อนมากเพราะถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐกลั่นแกล้ง ซึ่งที่ตรงนี้กรมที่ดินยืนยันมาแล้วว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของนิคมชาวเขาซึ่งขณะนี้ศาลยังไม่ตัดสินและให้เวลายื่นอุทธรณ์ 90 วัน ซึ่งยังไม่ครบตามกำหนดเวลาแต่อยู่ ๆ จะให้มารื้อถอนซึ่งชาวบ้านรับไม่ได้ แต่เมื่อไหร่ที่ศาลตัดสินมาแล้วว่าเป็นพื้นที่บุกรุก ชาวบ้านก็ยินดีจะรับฟังและรื้อถอนให้

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส