แก๊งเงินกู้นอกระบบดอกโหดต่างถิ่น เหิมยกพวกไล่ยิงวัยรุ่นเจ้าถิ่นกลางแยกไฟแดง สาหัส 3 ราย
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 3 ธันวาคม 2566 นายสุริยะ บุญเทียม อายุ 45 ปี เข้าแจ้งความต่อ ตำรวจ สภ.เมืองชัยภูมิ ว่าเมื่อกลางดึกวันที่ 2 ธันวาคม2566 หลังสถานบันเทิงปิด ขณะที่ตนพร้อมพวก 6 คน ไปเที่ยวตามสถานบันเทิงได้เกิดเขมนกับกลุ่มมาเฟียแก๊งเงินนอกระบบดอกโหดต่างถิ่นที่มาตระเวนเก็บเงินกู้นอกระบบอยู่ในบริเวณดังกล่าว
ขณะสถานบันเทิงเลิก พวกตนกำลังจะขับรถกลับบ้าน พบว่ากลุ่มมาเฟียเงินกู้ได้โทรเรียกพวกขับรถกระบะและจยย.มาสมทบ ก่อนจะพากันจอดรถแล้วชักปืนพกสั้นไม่ทราบขนาดจ่อยิงเข้าใส่กลุ่มผู้เสียหาย 5 นัด กระสุนพุ่งเข้าเจาะร่างนายสุริยาละลี อายุ 45 ปี และถูกที่ต้นขานายสุริยะ บุญเทียม อายุ 45 ปี และสุชาติ ช่วยอาสา อายุ 40 ปี ล้มฟุบจมกองเลือด หลายคนวิ่งหลบคมกระสุนอลหม่าน ก่อนกลุ่มมาเฟียเงินกู้นอกระบบดอกโหดต่างถิ่นฯจะพากับขี่รถจยย.และกระบะแต่งซิ่งไม่ติดแผนป้ายทะเบียนหลบหนีออกจากที่เกิดเหตุ ไปตามถนนนิเวศรัตน์สายชัยภูมิ-บัวใหญ่ หายไปในความมืด
หลังเกิดเหตุกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่นได้นำตัวเพื่อนผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลชัยภูมิ ให้แพทย์ผ่าตัดช่วยชีวิต หลังผ่าตัดนายสุริยะ บุญเทียม ได้รับบาดเจ็บออกจากโรงพยาบาลได้ให้ญาตินำพาเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มวัยรุ่นมาเฟียเงินกู้ดอกโหดดังกล่าว
ด้านนายสริยะ เล่าเพิ่มเติมว่า ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางทะเลาะวิวาทหรือรู้จักกับกลุ่มแก๊งเงินกู้นอกนระบบดังกล่าวและไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักกันมาก่อน คาดว่าจะเป็นการเข้าใจผิดหรือคนร้ายจำผิดคนจึงก่อเหตุยิงผิดตัวก็เป็นได้
ส่วนคู่กรณีแก๊งเงินกู้ดังกล่าวทราบว่าเคยก่อเหตุลักษณะนี้มาแล้ว 3-4 ครั้ง โดยก่อนหน้านี้ยังได้ก่อเหตุยกพวกบุกไปยิงถล่มร้านขายน้ำกระท่อมของกลุ่มวันแสงจันทร์ และยังยกพวกลูกน้องเด็กช่างกลบุกพังบ้านคู่กรณีในหมู่บ้านเอื้ออาทร 1 ในเมืองชัยภูมิ
ซึ่งล่าสุดยังก่อเหตุใช้ปืนตบหน้าคู่กรณีในผับดัง จนถูกคู่กรณีเข้าแจ้งความดำเนินคดีและมีการจ่ายเงินให้คู่กรณีกว่า 150,000 บาทเพื่อให้คู่กรณีถอนแจ้งความ โดยทุกครั้งจะมีนายทุนเงินกู้รายใหญ่หัวหน้าแก๊งที่อยู่ในต่างจังหวัดคอยให้คนมีสีในเมืองชัยภูมิ นำเงินมาเคลียร์จ่ายชดใช้ค่าเสียหายให้คู่กรณี จนทำให้กลุ่มมาเฟียเงินกู้นอกระบบดอกโหดกลุ่มดังกล่าวเหิมไม่เกรงกลัวกฏหมายและมักยกพวกนับ 10 คนรวมทั้งสมุนที่เป็นเด็กนักเรียนช่างกลไปก่อเหตุตามสถานบันเทิงต่างๆอยู่ประจำ จนประชาชนนักเที่ยวเกรงกลัวอิทธิพลดังกล่าว แต่ไม่มีหน่วยงานใดที่รับผิดชอบออกมาปราบปรามอย่างจริงจัง.
