ครูสาวถูกฆ่าโหด ดับสลดในศูนย์เด็กเล็ก คนร้ายหนีกลับบ้านผูกคอหวังลาโลก

14 มิ.ย. 66

ครูสาวถูกฆ่าโหด ดับสลดในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก คนร้ายหนีกลับบ้านผูกคอหวังลาโลก ญาติลากตัวลงปั๊มหัวใจส่งโรงพยาบาลทัน คาดสาเหตุปมหึงหวง

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 เมื่อเวลา 18.30 น. ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สุรินทร์ รายงานว่าได้รับแจ้งจากสมาคมอาสากู้ชีพ-กู้ภัยจอมพระ สุรินทร์ หรือ หน่วยกู้ภัยจอมพระกตัญญู ว่ามีเหตุทำร้ายร่างกายจนทำให้เสียชีวิตอยู่ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ้านอุดม ตำบลชุมแสง อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์  

หลังจากที่ได้รับแจ้งเกตุ หน่วยกู้ภัยจอมพระกตัญญู พร้อมเจ้าหน้าตำรวจ สภ.จอมพระ และ สภ.เมืองลีง พร้อมกับแพทย์เวร  โรงพยาบาลจอมพระ รุดออกตรวจสอบทันที พอไปถึงสถานที่เกิดเหตุ เป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก บ้านอุดม พบชาวบ้านจำนวนมาก ที่ได้รับข่าว ต่างมามุงดูจำนวนมากมาย

ภายในอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตรงโต๊ะทำงานพบร่างผู้หญิงใส่เสื้อแขนสั้นสีชมพู กางเกงขาสั้นสีดำ นอนอยู่ที่พื้นมีรอยเลือดบริเวณศีรษะ เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับแพทย์เวร หน่วยกู้ภัยจอมพระ ร่วมกันพลิกพิสูจน์รางผู้เสียชีวิต มีบาดแผลเหมือนถูกของมีคมฟันที่บริเวณด้านหลังศีรษะ เป็นรอยบาดแผลฉีกขาดขนาดใหญ่ แล้วบริเวณลำคอเหมือนถูกของมีคมกรีดแต่ไม่เข้าเป็นเหมือนรอยขีดข่วน ใกล้กันบนโต๊ะพบคราบเลือด พร้อมมีดอีโต้วางอยู่บนโต๊ะ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สันนิษฐานอาจจะเป็นอาวุธที่ใช้ก่อเหตุดังกล่าว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานต่อไป

ล่าสุดวันที่ 14 มิ.ย.66 เมื่อเวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าว ตามติดตามความคืบหน้าเดินทางไปลงพื้นที่ ยังสถาณีตำรวจ เมืองลีง เพื่อเข้าพบกับร้อยเวรเจ้าของคดีและสอบถามถึงความคืบหน้าของคดีความ

พ.ต.ท.แสงหิรณย์ แก้วดี ร้อยเวรเจ้าของคดี เล่าว่า เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.66 เมื่อเวลา รับแจ้งเหตุทำร้ายร่างรายกัน จนทำให้มีคนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 ราย ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ รุดลงพื้นที่ พบศพ นางสำรวมสุข (สงวนนามสกุล) (เป็นครูสอน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านอุดม) ต่อมาจึงได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่ไม่พบ นายศักดิ์ ผู้ก่อเหตุ จึงได้ลงพื้นที่ไปที่บ้านของผู้ก่อเหตุ ภูดิน ม.4ตำบลกระโพ  อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งนายศักดิ์ ได้ผูกคอตาย แต่ทางญาติไปเห็นและได้นำตังสางโรงพยาบาล ตอนนี้อาการ 50/50 อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและได้อายัดตัวผู้กาอเหตุไว้  ส่วนสาเหตุของการลงมือฆ่าเกิดจากหึงหวง

ต่อมาผู้สื่อข่าวประจำ จ.สุรินทร์ได้ลงพื้นที่ไปบ้านของญาติผู้ตาย บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ เพื่อนบ้านได้มาร่วมให้กำลังใจกับญาติคนตาย พร้อมรอรับศพคนตายที่ได้ส่งไปชันสูตรศพที่โรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์  บรรยากาศการที่บริเวณวัดบูรณะบ้านผาง ก็ได้มีชาวบ้านได้มารอรับศพเพื่อจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดบูรณะบ้านผางตรงศาลาสัมโพชรฌงค์  มีโลงศพสำหรับใส่ศพคนตาย

ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านอุดม บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบสงบ ประตูรั้วศูนย์พัฒนาเด็กเล็กปิดอยู่ มีเชือกสำหรับกั้นเขตพื้นที่ไว้ เพื่อให้เคลียร์คดีจบเสียก่อน

นาย ฌัฏฐพัชร์ รัตนะธีรากร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านอุดม เป็นผู้บังคับบัญชา ของ นาง สำรวมสุข  (ผู้ตาย) เล่าว่า คนตายเป็นคนอัธยาศัยดี ขยันทำงาน  รับผิดชอบงานดีมาก มาก่อนเวลาและก็เลิกงานหลังเพื่อน  เป็นที่รักของนักเรียนทุกคน ถ้าจะสอบถามนักเรียนว่ารักใครมากที่สุด นักเรียนตอบได้เลยว่า รักคุณครู สำรวมสุข ในเรื่องของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านอุดม ทางนายกฯองค์การบริหารส่วนตำบลชุมแสง ได้ให้โรงเรียนปิดทำการเรียน 3 วัน หรือจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจะคลี่คลายคดีได้ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับนักเรียนพร้อมกับผู้ปกครองนักเรียน

จากการสอบถาม นายสง อายุ 62 ปี (พี่เขยของคนตาย) พร้อมกับ พี่สาวของคนตายชื่อ ประยงค์ อายุ 60 ปี เล่าว่าคนตายบ้านอยู่ติดกันคนตายเป็นคนอัธยาศัยดีเป็นที่รักของทุกคนและนักเรียนส่วนในเรื่องส่วนตัวว่าเขาทะเลาะกันหรือไม่หรือมีปัญหาอะไรก็ไม่ค่อยรู้เพราะผู้ตายไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังพอมาถึงก็ขึ้นบ้านเก็บตัวเงียบ แต่เคยรู้อยู่ว่าเรื่องทะเลาะกัน เรื่องชู้สาว คนตายจะคุยกับเพื่อนหรือใครคนไหนจะไม่ได้เลย คนก่อเหตุจะชอบหึงหวงมาก จนทะเลาะกันครั้งก่อนนานแล้ว ที่ผู้ตายเคยไปอยู่บ้านสามีทะเลาะกันถึงขั้นบีบคอผู้ตาย แล้วตัวเองอยากจะให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการกับคนก่อเหตุให้ถึงที่สุด ประหารชีวิตได้ยิ่งดี 

ส่วนคนก่อเหตุที่ได้กลับจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านอุดม หลังจากกลับไปได้ผูกคอตาย ที่บ้านแต่ญาติพี่น้องช่วยเหลือได้ทัน โดยการ CPR หรือปั้มหัวใจส่งตัวไปที่โรงพยาบาลอำเภอท่าตูม และก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์ รับแจ้งจากเจ้าหน้าคุณหมอโรงพยาบาลอำเภอท่าตูมว่า คนก่อเหตุที่นำส่งต่อโรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์ ยังไม่รู้สึกตัวเองอยู่ตอนนี้

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส