‘เพื่อไทย’ ชี้ “บิ๊กตู่” ลงพื้นที่ถี่ฝืนกฎเหล็ก กกต.หรือไม่

5 ม.ค. 66

‘เพื่อไทย’ เหน็บ “ประยุทธ์” ลงพื้นที่ถี่ช่วงใกล้เลือกตั้ง หวังชิงความได้เปรียบทางการเมือง เหน็บอยู่มา 8 ปีไม่เคยทำ

 

วันที่ 5 ม.ค. นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางลงพื้นที่ร่วมกับรัฐมนตรีหลายกระทรวง ที่จังหวัดสิงห์บุรี  และคาดว่าคงจะลงพื้นที่ถี่ยิบก่อนยุบสภา กฎเหล็กของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.มีรายละเอียดชัดเจนว่า ห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมืองมอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ต่างๆ ได้ เช่น การมอบสิ่งของช่วยเหลืออุทกภัย ฯลฯ ทำให้ในช่วงน้ำท่วมปีที่ผ่านมา ส.ส.และสมาชิกพรรคของพรรคร่วมฝ่ายค้านมีความพยายามที่จะลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน ไม่สามารถทำได้  สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความสงสัยให้กับสังคมว่า กฎหมายเลือกตั้งที่มีขึ้นในยุค คสช. สร้างความไม่เท่าเทียมทางการเมืองหรือไม่  การที่ พล.อ.ประยุทธ์ สามารถใช้ทรัพยากรของรัฐ ทั้งรถยนต์ของรัฐ  เครื่องบินของรัฐ  ไปพบปะผู้ว่าราชการจังหวัด   ใช้งบประมาณหรือกระทำการอื่นใด ที่อาจจะเป็นการสร้างความได้เปรียบทางการเมืองซึ่งดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่สำนึก และยังคงเดินหน้าทำต่อไป ยืนยันได้จากการแต่งตั้งหัวหน้าพรรคที่ พล.อ.ประยุทธ์จะไปสังกัด เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี  ซึ่งคนเขาเคลือบแคลงสงสัยว่าขัดมารยาททางการเมือง นอกจากนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐแต่ยังไม่ทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ หลายเรื่องเช่น ค่าจ้างขั้นตำ่ 425 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 20,000 บาทต่อเดือน แต่เตรียมเปิดตัวจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดมารยาททางการเมืองเป็นอย่างมาก กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาที่จะแสดงให้เห็นว่า  ในจิตใจของผู้นำประเทศ  มีความสำนึกหรือละอายทางการเมืองหรือไม่ 

 

ทั้งนี้ ในระหว่างที่มีกฎเหล็ก กกต.180 วันอยู่นี้ สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรจะทำคือ

1.มีมารยาททางการเมือง ไม่ควรริเริ่มโครงการขนาดใหญ่ในตอนนี้ ที่จะสร้างภาระงบประมาณให้รัฐบาลหน้า

2.ไม่โยกย้ายข้าราชการ เพื่อจัดวางคนสร้างความได้เปรียบทางการเมือง

3.ควรระมัดระวังในการใช้จ่ายงบกลางในช่วงใกล้สิ้นสุดรัฐบาล

นางสาวชญาภา กล่าวต่อว่า หากประเมินความพร้อมของพรรคตั้งใหม่ ไม่ได้มีบิ๊กเนม (Big name) มีแต่โอลด์เนม (Old name)  เข้าไปสมทบ  ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่ประชาชนจะยอมรับ เพราะจากผลการสำรวจครั้งแล้วครั้งเล่า  อย่างนิด้าโพลครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม 2565 พบว่า บุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ อันดับ 1 ร้อยละ 34 คือ น.ส.แพทองธาร  ชินวัตร ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เพียงร้อยละ 14.05  คะแนนนิยมดังกล่าวเป็นเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์เร่งลงพื้นที่หรือไม่ อยู่มา 8 ปี  ไม่ค่อยลงพื้นที่ถี่เหมือนตอนนี้ และผลงานไม่โดดเด่นจึงได้คะแนนความนิยมน้อยขนาดนี้

"เหลือเวลาอีก 2 เดือนกว่า ที่จะหมดอายุสภา และพลเอกประยุทธ์คงลากยาวให้นานที่สุด แต่ก็คงยากที่จะสร้างคะแนนเพิ่มขึ้นมาได้ตามกฎโน้มถ่วงทางการเมือง  และจากการลงพื้นที่รับฟังปัญหา พูดคุยกับพี่น้องประชาชน ซึ่งชีวิตลำบากมากจากปัญหาเศรษฐกิจ พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่เข้ามาแก้ปัญหาความทุกข์ยาก คืนชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีให้กับพวกเขาได้” นางสาวชญาภา กล่าว

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม