พ่อพี้ยาเห็นผียัดดินอุดปากลูก 3 ขวบ ตะลึงโพยลับฝังแก๊สฆ่ายกครัว (คลิป)

จากกรณีเวลา 05.00 น. วันที่ 3 ม.ค. 66 พ.ต.อ.วัฒนกิจ เฉลาประโคน ผกก.สภ.ลาดยาว ได้รับแจ้งเหตุจากสารวัตรเวรโรงพักว่ามีผู้พบศพเด็กน้อยวัย 3 ขวบ เสียชีวิตอยู่ภายในป่ามัน บริเวณหลังบ้านพัก ในหมู่ 22 ต.บ้านไร่ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ จึงเดินทางไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบนางอนงค์นาฎ ปานนท์ อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นย่าของเด็กน้อยวัย 3 ขวบ ได้พาเจ้าหน้าที่ไปดูจุดที่พบศพนอนเสียชีวิตอยู่ภายในร่องป่ามันสำปะหลัง ห่างจากบริเวณหลังบ้านพักไปประมาณ 200 เมตร พบศพ ด.ญ.นรีนันท์ ปานนนท์ หรือ น้องเปียโน อยู่ในสภาพถูกดินยัดอุดปาก

จากการตรวจสอบสภาพร่างกาย ไม่พบว่ามีร่องรอยถูกทำร้ายแต่อย่างใด ส่วนนางอนงค์นาฎ ให้การกับเจ้าหน้าที่ว่า คนที่อุ้มหลานสาวนำมาทิ้งในไร่มันนั้น คือ นายรณชัย ปานนนท์ อายุ 27 ปี ซึ่งเป็นบุตรชาย และหลังเกิดเหตุได้ขับขี่รถจักรยานยนต์สีดำสภาพใหม่เอี่ยมหลบหนีไป โดยไม่ทราบว่าไปทางไหน

ทีมข่าวได้รับทราบข้อมูลจากตำรวจ สภ.ลาดยาวว่า ขณะที่ตำรวจสภ.เมือง จ.ชลบุรี รวมตัวผู้ก่อเหตุคือ นายรณชัย ปานนนท์ หรือ เจมส์ อายุ 27 ปี รวมทั้งยึดรถจักรยานยนต์สีใช้หลบหนี

นายรณชัย อ้างว่า ช่วงเกิดเหตุเจอผีผู้หญิงชราผมยาวไล่ตามมาในป่ามันสำปะหลัง ตนเลยทิ้งลูกแล้ววิ่งหนีกระเจิงไป ผีก็อุ้มลูกตนไป ยืนยันว่าไม่ได้เสพยาเสพติด ก่อนที่ตนหนีผีจาก จ.นครสวรรค์ มาที่ จ.ชลบุรี และยังไม่รู้เรื่องว่าใครฆ่าลูกตน นอกจากนี้ ตำรวจตรวจร่างกายและปัสสาวะ พบสารเสพติด

วันที่ 4 ม.ค. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่บ้านพัก หมู่ 22 ต.บ้านไร่ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ เป็นบ้านที่ ด.ญ.นรีนันท์ ปานนนท์ หรือ น้องเปียโน พักอาศัยกับครอบครัว โดยแม่ของน้องเปียโนไปทำงานที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จึงเป็นพ่อที่เลี้ยง และมีปู่และย่าที่ร่วมเลี้ยงด้วย

จุดที่พบศพอยู่บริเวณป่ามันหลังบ้านพัก ห่างจากตัวบ้านพักประมาณ 200 เมตร โดยคนที่เห็นเหตุการณ์คือย่าของน้องเปียโน เห็นพ่ออุ้มน้องเปียโน และนำมาทิ้งในไร่มัน แต่ปรากฏว่าระหว่างที่ทีมข่าวลงพื้นที่ ยายของน้องเปียโนไม่อยู่บ้านพัก เดินทางไปที่สภ.ลาดยาว เพื่อไปให้ปากคำตำรวจ ส่วนบรรยากาศที่บ้านพัก ญาติได้จัดงานศพน้องเปียโน บรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าโศก

นางก้อยใจ ปานนนท์ อายุ 56 ปี ย่าของน้องเปียโน เล่าว่า ตนกับย่าเจี้ยบช่วยกันเลี้ยงดูน้องเปียโนมาโดยตลอด ซึ่งย่าเจี้ยบก็คือแม่บังเกิดเกล้าของนายเจมส์ หลังนายเจมส์กับภรรยาแยกกันอยู่ ภรรยาไปทำงานที่กรุงเทพฯ นายเจมส์ก็มีแต่ดื่มเบียร์ดื่มเหล้าประจำ ทำให้ส่วนใหญ่น้องเปียโนจะไปอยู่กับย่าเจี้ยบและตัวติดย่าเจี้ยบเป็นตังเม แต่ปกตินายเจมส์ก็เป็นคนรักลูก ซื้อขนมให้ลูกกินประจำ ลูกสาสอยากได้อะไรก็หามาให้

คืนเกิดเหตุช่วงประมาณ 04.00 น. น้องเปียโนนอนกับย่าเจี้ยบในห้องพัก ส่วนนายเจมส์กินเบียร์ในห้องนอนของตนเองและเปิดเพลงเสียงดังสนั่น ทำให้ย่าเจี้ยบนอนไม่หลับ เพราะใจคอไม่ดีกลัวลูกชายอาละวาด สักพักลูกชายตะโกนเรียกย่าเจี้ยบ ออกอุบายว่ามีท่อประปาแตกในห้องน้ำ ด้านย่าเจี้ยบหลงเชื่อจึงเข้าห้องน้ำไปดู แต่ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนปิดประตูหลังบ้านเสียงดัง จึงเอะใจว่าน่าจะมีเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น รีบตามไปดู พบนายเจมส์อุ้มน้องเปียโนออกจากห้องนอนที่น้องนอนกับย่าเจี้ยบ แล้วอุ้มออกประตูหลังบ้านไป วิ่งเข้าป่ารกหลังบ้าน เพื่อไปตัดออกไร่มันสำปะหลังของเพื่อนบ้าน

ย่าเจี้ยบจึงตกใจและวิ่งตามไปแต่ก็สะดุดล้ม ซึ่งตอนนั้นก็พยายามตะโกนห้ามขอให้เอาหลานมาคืน แต่ตัวลูกชายก็ไม่ฟัง จนเพื่อนบ้านและญาติตกใจลุกมาเปิดไฟตัวบ้านและออกมาถามว่าเกิดเหตุอะไร สุดท้ายไม่คาดคิดพบน้องเปียโนเป็นศพอยู่ในไร่มันสำปะหลังของเพื่อนบ้าน ก่อนหน้านี้เห็นนายเจมส์ดูแลน้องเปียโนเป็นอย่างดี โดยไม่เคยทอดทิ้งลูก หากนายเจมส์จะไปไหนก็จะเอาน้องเปียโนไปด้วย ส่วนพฤติกรรมเกี่ยวข้องยาเสพติด ยอมรับว่านายเจมส์เคยเสพยาบ้า โดยก่อนหน้านี้เคยไปทำงานเคยไปทำงานที่กรุงเทพเมื่อ 4-5 ปีก่อน เป็นพนักงานขายโทรศัพท์มือถือ ซึ่งตอนนั้นเริ่มเสพยาบ้า จนกระทั่งมีพฤติการณ์ติดยาเสพติดหนัก

ก่อนเกิดเหตุประมาณ 5-6 เดือนก่อน ไปมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก โดยมีพฤติกรรมแปลก ชอบนั่งคนเดียวแล้วพูดอยู่คนเดียว บางครั้งจำแม่ตัวเอง เมียและลูกตัวเองไม่ได้ ก็เคยจะเข้าไปบีบคอ เคยผลักน้องเปียโนในลักษณะรุนแรงก็มี แต่ตอนนั้นทางญาติควบคุมสถานการณ์ได้ เหตุการณ์จึงไม่ได้บานปลาย และไม่ได้แจ้งความ

นางนุชรี ปานนนท์ อายุ 42 ปี ลูกพี่ลูกน้องกับผู้ก่อเหตุ คนพบศพคนแรก เล่าว่า ช่วงเกิดเหตุตนกำลังนอนในบ้านพัก ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงชาวบ้านมาช่วยกันตามหาน้องเปียโน ตนจึงออกจากบ้านพักมาช่วยค้นหา จากนั้นมีการแบ่งกลุ่มกันค้นหาตัวน้องเปียโน โดยตนไปค้นหาในบริเวณไร่มันสำปะหลัง พอตนเดินไปค้นหาตอนแรกพบนาฬิกาหล่น เป็นนาฬิกาของคนก่อเหตุ สักพักเดินไปไม่ห่างกันมากนัก ก็พบน้องเปียโนนอนอยู่ที่พื้นในไร่มันสำปะหลังและเสียชีวิตแล้ว สภาพศพตอนนั้นนอนหงาย มีทรายเปื้อนทั้งร่างกาย โดยมีทรายเกาะบริเวณใบหน้าจำนวนมาก และในปากมีทรายจำนวนมากอยู่

คาดว่าพ่อของน้องเปียโนไม่ได้หยิบทรายมาจับใส่ปากลูกสาว แต่ลักษณะน่าจะจับน้องเปียโนคว่ำแล้วกดใบหน้าน้องเปียโนไปกับพื้นทราย จังหวะนั้นน้องคงพยายามร้องขอความช่วยเหลือและดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพ่อ ทรายจึงเข้าไปในปาก จนกระทั่งสู้แรงไม่ไหวและหายใจไม่ออก จึงเสียชีวิต

ตอนที่ตนไปพบศพน้องพบน้องในสภาพนอนหงายเสียชีวิต และไม่พบพ่อของน้องในที่เกิดเหตุ ย่าน้องเปียโนเล่าให้ฟังว่าหลังนายเจมส์ก่อเหตุเสร็จก็เดินกลับมาที่บ้านพัก มาขึ้นรถจักรยานยนต์แล้วขี่หนีไป โชคดีที่หนีไม่พ้น ถูกจับกุมตัวได้ในที่สุดที่ จ.ชลบุรี

สภาพจิตใจตอนนี้ของแม่น้องเปียโนซึ่งยังเป็นภรรยาคนก่อเหตุอยู่ในภาวะย่ำแย่ ไม่พร้อมคุยกับใคร แต่ทราบข่าวว่าลูกเสียชีวิตก็รีบมาจากกรุงเทพฯมาที่บ้าน จ.นครสวรรค์ทันที ส่วนตัวยอมรับชาวบ้านต่างหวาดกลัวมากหลังนายเจมส์ก่อเหตุดังกล่าว ต่างอยากให้ถูกจับเข้าคุกไปนาน ๆ เพราะกลัวถูกปล่อยออกมาจะก่อเหตุซ้ำ

นางสาวปพัศราพร ปักกาโล อายุ 22 ปี แม่ของน้องเปียโน เล่าว่า ทราบเรื่องว่าน้องเปียโนเสียชีวิตช่วงประมาณตี 5 วันที่ 3 ม.ค. โดยมีญาติของนายเจมส์โทรบอก ตอนที่ทราบเรื่องถึงกับเป็นลมล้มลงหลายรอบ เพราะไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริงและทำใจรับไม่ได้ที่นำลูกมาฝากเลี้ยงกับนายเจมส์ เพราะส่วนตัวไม่ได้เชื่อใจที่นายเจมส์จะดูแลลูกได้ แต่รู้ว่าเขาเป็นคนรักลูก ทั้งแม่และญาติของนายเจมส์เป็นคนดีและรัก รวมทั้งดูแลน้องเปียโนดีมาตลอด จึงวางใจให้น้องเปียโนถูกเลี้ยงโดยญาติของนายเจมส์

ส่วนตัวตกลงใช้ชีวิตคู่กับนายเจมส์ จดทะเบียนสมรสตั้งแต่ปี 2562 แต่ต่อมาแยกทางกัน เพราะทนไม่ได้ที่นายเจมส์เคยใช้กำลังตบตีตนและแม่ของนายเจมส์หลายครั้ง จึงขอแยกทาง จากนั้นตนก็ไปทำงานที่กรุงเทพส่งเสียเงินให้น้องเปียโนทุกเดือน ซึ่งนายเจมส์เคยง้อให้กลับมาคืนดี สุดท้ายทนพฤติกรรมไม่ไหวเลิกกันอีกรอบ ส่วนพฤติกรรมนายเจมส์เคยใช้ความรุนแรงกับตน แต่ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับน้องเปียโน มีพฤติกรรมชอบเสพยาบ้าและดื่มเบียร์หนัก อีกทั้งติดเกมจึงเสพความรุนแรงจากเกม

ส่วนตัวทำใจไม่ได้ที่นายเจมส์มาทำลูกของตน ตนเลี้ยงลุกมาจนโตทะนุถนอม และส่งเงินให้ทุกเดือน หลังจับได้อยากให้ประหารชีวิต ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต สะเทือนใจที่สุดคือคุยกับลูก สัญญากับน้องเปียโนจะมารับน้องเปียโนวันที่ 19-20 ม.ค. 66 เพื่อพาไปหาตากับยายที่ จ.มหาสารคาม แต่ลูกกลับถูกพ่อแท้ ๆ ฆ่าเสียชีวิตก่อน

ส่วนตัวเชื่อที่นายเจมส์ก่อเหตุเพราะหลอนยาเสพติดและด้วยความมึนเมาของแอลกกอฮอล์ พฤติกรรมก่อนหน้าก่อเหตุปีที่แล้วนายเจมส์เคยพูดขู่ฆ่ายกครัว ต่อมาช่วงสิ้นปีทิ้งจดหมายขู่ฆ่ายกครัวในบ้านพัก ระบุเป็นข้อ ๆ ข้อ 1. ฝังถังแก๊ส ข้อ 2. ฆ่าคนในครอบครัวตามลำดับ มีชื่อตนและน้องเปียโน และมีแม่ของนายเจมส์ น้องชายฝาแฝดนายเจมส์ ป้าและน้า จนกระทั่งวันที่ 2 ม.ต. ขุดหลุมฝังแก๊สหลังบ้าน ช่วงเช้าตรู่วันที่ 3 ม.ค. ก่อเหตุฆาตกรรมลูกตน หากไม่จับตัวได้ก่อน ก็ไม่ทราบชะตากรรมเหมือนกันจะทำทุกข้อตามจดหมายที่ขู่ไว้หรือไม่

นางสาวการะเกด ติยะสัน อายุ 37 ปี พี่สะใภ้ของมือฆ่า เผยพฤติกรรมก่อนนายเจมส์สังหารลูกในไส้ ช่วงเย็นวันที่ 2 ม.ค. นายเจมส์ลากถังแก๊สที่อยู่ในห้องครัว ลากมาบริเวณสวนต้นยางพาราหลังบ้าน โดยลากมาห่างจากตัวบ้านพัก 10 เมตร จากนั้นไปยืมจอบญาติมาขุดดินขนาดลึก ก่อนที่จะนำถังแก๊สประมาณ 15 กิโลกรัม 1 ถัง ฝังลงไปในดิน และฝังดินกลบไว้ ตอนนั้นญาติไม่มีใครรู้ว่านายเจมส์นำมาฝัง จนกระทั่งหลังเกิดเหตุพบกองดินหลังบ้านพัก ซึ่งในกองดินเห็นหัวแก๊ส

ตอนนี้ญาติก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ เนื่องจากกลัวอันตราย เพราะก่อนหน้าเกิดเหตุประมาณ 2-3 เดือน นายเจมส์มีพฤติกรรมแปลก ติดเล่นเกมออนไลน์ ดื่มเบียร์ในห้อง และชอบเปิดเพลงเสียงดัง หากใครเข้าห้องโดยไม่ได้รับอนุญาตก็จะมีปากเสียงด้วยทันที

ซึ่งหน้านี้เคยพูดขู่จะฆ่ายกครัว แต่ญาติทุกคนก็คิดแค่ว่าพูดเล่น ไม่ทำจริง สุดท้ายฆ่าลูกตัวเอง นอกจากนี้ หลังฆ่าน้องเปียโน ยังทิ้งจดหมายขู่ฆ่า วางภาพถังแก๊สในวงกลมก่อนขีดกากบาท และเขียนชื่อคนในครอบครัวในกระดาษประมาณ 3-4 คน ตอนนี้ครอบครัวต่างสลดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สูญเสียหลาน และยังทำไม่ได้อีกที่คนฆ่าก็คือคนในครอบครัว

สืบเนื่องจากเบาะแสนำไปสู่การจับกุมตัวผู้ต้องหา ได้รับแจ้งเบาะแสจากพลเมืองดีคือ นายสำเริง ศรีเสวก พลเมืองดี บอกว่าไปพบผู้ต้องหาตามประกาศจับอยู่ที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง หมู่ 1 ต.บ้านสวน อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ สภ.เมืองชลบุรี เข้าจับกุมตัวได้

พล.ต.ต.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ รอง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้มอบกระเช้าให้กับพลเมืองดีที่ได้แจ้งเบาะแสกับตำรวจ จนนำไปสู่การจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ในที่สุด เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาฆ่าผู้อื่น ควบคุมส่งพนักงานสอบสวนในพื้นที่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป