แฟนทรุดรับศพ จ่าไพร แผนวิวาห์ล่ม หวังมีลูกสูญสิ้น คาดเรืออับปางว่ายน้ำเก่งไม่รอด (คลิป)

วันที่ 30 ธ.ค. 65 เวลา 14.00 น. พล.ต.อ. สุรเชษฐ หักผ่าน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับภารกิจการตรวจอัตลักษณ์ร่างผู้สูญหายจากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง ซึ่งเจ้าตัวได้เดินทางมาที่มูลนิธิสว่างราษฎร์ศรัทธาธรรมสถาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยได้มีการเยี่ยมให้กำลังใจและติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับภารกิจการตรวจอัตลักษณ์และเก็บดีเอ็นเอของญาติ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยพิสูจน์หลักฐานได้มีการร่วมตรวจสอบเพื่อยืนยันอัตลักษณ์ของร่างผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เรือหลวง ได้มีการตรวจสอบและยืนยันไปแล้ว 23 คน ซึ่งก็ได้มีการส่งต่อให้ญาติได้นำไปประกอบพิธีทางศาสนาแล้ว

กรณีร่างของผู้สูญหายที่มีการกู้ขึ้นมาจากอ่าวไทยล่าสุดที่ยังอยู่ในขั้นตอนของการยืนยันอัตลักษณ์ และผลตรวจดีเอ็นเอ โดยมีการตรวจจากฟัน โดยเบื้องต้นผลตรวจไปตรงกับ นาวาตรี พลรัตน์ สิโรดม หรือ ต้นเรือพลับ ตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ของนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ก่อนที่จะมีการยืนยันความชัดเจนอีกครั้ง เพื่อความสมบูรณ์ของผลการตรวจ

แต่สำหรับภารกิจวันนี้หลังจากที่ยังไม่พบร่างผู้สูญหายเพิ่มเติม และยังเหลืออีก 5 คน เบื้องต้นได้มีการถอนกำลังชุดพิสูจน์หลักฐานและนิติเวชของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจากมูลนิธิฯ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปประจำการที่ปอยเปตกรณีเหตุการณ์เพลิงไหม้ จะได้มีการช่วยสนับสนุนในเรื่องของการตรวจอัตลักษณ์และยืนยันตัวบุคคลจากเหตุการณ์ดังกล่าวต่อไป

ขณะที่พี่สาวของ น.ต.พลรัตน์ ได้โพสต์ภาพคุณแม่ผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมข้อความระบุว่า "วันที่ 11 พลับ พี่อยากให้พลับกลับมาดูรูปนี้นะ ความรักของแม่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว แม่เดินตามหาพลับทุกวัน เข้มแข็งนะน้องรัก"

ด้านพี่ชายต้นเรือพลับ ได้มีการเคลื่อนไหวล่าสุดเฟซบุ๊กเช่นเดียวกัน ระบุว่า "รอผล DNA อีก 7 วันนะครับ ไม่เข้าใจเหตุผลที่รีบประกาศ กดดันกันทุกวิถีทางเพื่อขอตัวอย่าง DNA ขู่ว่าถ้าไม่ให้ DNA จะประกาศแล้วว่าพบร่าง ให้ตัวอย่าง DNA เสร็จแล้วก็ประกาศเลย ถ้าเป็นลูกคุณคุณคงจะรีบแบบนี้นะ หวังว่าจะยังไม่หยุดค้นหาคนที่เหลือนะครับ"

ขณะที่รุ่นพี่ของต้นเรือพลับก็ได้เคลื่อนไหวฝ่านเฟซบุ๊กเช่นเดียวกัน โดยโพสต์ข้อความว่าเป็นการตามหาวันที่ 12 แล้ว และปิดท้ายประโยคติด #ทีมแม่ต้นเรือพลับ

ทั้งนี้ เวลา 11.00 น. ที่มูลนิธิสว่างราษฎร์ศรัทธาธรรมสถาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้มีย้ายร่างของกำลังพลที่ชีวิตทั้ง 3 รายขึ้นรถตู้ของมูลนิธิ ประกอบด้วยรถตู้คันที่ 1. บรรจุร่างของ “จ่าเอกไพร ร่วมญาติ” อายุ 25 ปี สังกัดหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) รถตู้คันที่ 2 บรรจุร่างของ “พลทหารชลัช อ้อยทอง” อายุ 22 ปี ตำแหน่งพลแตรเรือหลวงสุโขทัย และรถตู้คันที่ 3 บรรจุร่างของ “พ.จ.อ.คุณากร จริยศ” หรือ “หมอแชมป์” อายุ 35 ปี ตำแหน่งพันจ่าพยาบาลประจำเรือหลวงสุโขทัย

ส่วนครอบครัวที่มารอรับร่างนั้น จะอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ภายในมูลนิธิฯ บางส่วนจะมีการให้ครอบครัวออกมาตรวจเช็คของใช้ส่วนตัวของผู้เสียชีวิต ซึ่งหากยืนยันก็จะมีการส่งมอบให้ครอบครัว อย่างยายและแม่ของ “พลทหารชลัช” วันนี้ก็ออกมายืนยันสิ่งของด้วยสีหน้าแววตาเศร้าซึม ขณะที่ครอบครัวของ “หมอแชมป์” ก็มีบางช่วงจังหวะที่ปาดน้ำตา เพราะยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครั้งนี้ อีกภาพที่สะเทือนใจมาก ๆ คือแม่ของ “จ่าเอกไพร” ที่วันนี้ทำได้เพียงแค่นั่งกอดและจ้องมองรูปถ่ายของลูกด้วยความอาลัย

ต่อมาเวลา 12.30 น. ครอบครัวทั้ง 3 ร่างได้เดินถือรูปถ่ายและกระถางธูปออกมาจากมูลนิธิเพื่อไปยังรถตู้ที่บรรจุแต่ละร่างไว้ นำโดยแม่ของ “จ่าเอกไพร” ถือรูปถ่ายและมีแฟนสาวถือกระถางธูปตาม ต่อด้วยครอบครัวของ “หมอแชมป์” ที่มีญาติคอยถือรูปถ่ายกับกระถางธูป และปิดท้ายด้วยยายของ “พลทหารชลัช” ที่ถือรูปถ่าย ซึ่งผู้เป็นแม่ที่พลัดพรากกัน 15 ปีก็ถือกระถางธูปตามไป

เมื่อไปถึงรถตู้ ทั้งหมดจะมีการจุดธูปเชิญดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตไปสู่สุขคติในสัมปรายิกภพ ซึ่งบรรยากาศช่วงเวลานี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า บางครอบครัวถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็มีการเคลื่อนร่างทั้งหมดสู่กองบิน 5 อ่าวมะนาว จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยรถตู้ของมูลนิธิสว่างราษฎร์ศรัทธาธรรมสถาน ส่วนทางครอบครัวก็จะนั่งรถตู้ของกองทัพเรือตามไป

ต่อมาเวลา 13.30 น. ขบวนรถลำเลียงผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย เคลื่อนมาถึงบริเวณ สนามบิน ฝูงบิน 501 กองบิน 5 โดยมีกองทัพอากาศจัดเตรียมสถานที่รอทำพิธี ก่อนเคลื่อนย้ายร่าง ขึ้นสู่เครื่องบิน F27 ขณะเดียวกันมีแพทย์มาสอบถามสุขภาพเบื้องต้น ของญาติผู้เสียชีวิต เพื่อประเมินเตรียมความพร้อมก่อนนำส่งขึ้นเครื่องบิน

โดยก่อนนำร่างของผู้เสียชีวิตขึ้นเครื่อง มีการจัดเตรียมโต๊ะวางร่างของผู้เสียชีวิต วางโลงศพของผู้เสียชีวิต ถูกคลุมด้วยธงชาติไทย บรรยากาศเป็นไปด้วยความเสียใจแห่งการสูญเสีย

จากนั้นเมื่อเริ่มเคลื่อนขบวน กองทหารเกียรติยศถือรูปและกระถางธูป โดยมีพระสงฆ์ 1 รูป ถือสายสิญจน์นำโลงศพ ตามด้วยร่างผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย คือ “หมอแชมป์” , “จ่าเอกไพร” และ “พลทหารชลัช” ตามลำดับ

ด้านข้างมีกองทหารกองเกียรติยศ ฝูงบิน 501 กองทัพอากาศ ทหารเรือ จนท.กู้ภัย ร่วมส่งร่างผู้เสียชีวิตขึ้นเครื่องบิน โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าและสมเกียรติ ซึ่งญาติของผู้เสียชีวิตได้ขึ้นเครื่องบินลำเดียวกับร่างของผู้เสียชีวิต ก่อนเครื่องขึ้นเวลา 14.30 น. มีข้าราชการตั้งแถวส่ง ทั้งผู้บังคับการกองบิน 5 แม่ทัพภาคที่ 1 ศรชล.ประจวบฯ เป็นต้น

ระหว่างที่มีการเตรียมพิธีการนั้นผู้สื่อข่าวมีโอกาสได้คุยกับแม่ของ “จ่าเอกไพร” คือ “นางขวัญเรือน ร่วมญาติ” อายุ 57 ปี เจ้าตัวร้องไห้ตลอกเวลาที่มีการสัมภาษณ์ ยอมรับว่าความรู้สึกมันจุกและพูดอะไรไม่ออกจริง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือแภูมิใจในตัวลูกมาก เชื่อว่าลูกได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่และดีที่สุดแล้ว เพราะอาชีพทหารเรือเป็นอาชีพที่เขารัก สิ่งสุดท้ายที่อยากจะบอกคือ “ขอให้ลูกไปสู่ภพภูมิที่ดี แม่รักลูกนะ”

ด้าน “นางสาวภัณฑิรา วงศ์พรมมา” อายุ 24 ปี แฟนสาวของ “จ่าเอกไพร” เจ้าตัวเล่าให้ฟังวันที่ 17 ธันวาคม 2565 ตนก็มาส่งที่กองทัพสัตหีบ สถานการณ์ทุกอย่างยังปกติ แต่พอแยกย้ายและช่วงค่ำของวันเดียวกัน ตนทักแชทเฟซบุ๊กไปหา แต่เขาอ่านแล้วไม่ตอบและหลังจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อได้เลย

จนกระทั่งทราบข่าวว่าเรือล่มตอน 1-2 ทุ่มของคืนวันที่ 19 ธันวาคม 2565 ตนก็พยายามทักหาและโทรหาตลอดเพราะทราบจากและจริง ๆ ตามกำหนดการเดิมที่ตนทราบ กองทัพจะไปชุมพรโดยรถของกองทัพ แต่เช้า 10.00 น. ของวันที่ 17 ธันวาคม 2565 รุ่นพี่โทรมาบอกเขาว่าเปลี่ยนเป็นเดินทางโดยเรือ แต่ตนก็ไม่ได้ถามรายละเอียดว่าทำไมถึงเปลี่ยน เพราะไม่เอะใจว่าจะเกิดเหตุร้าย

ยอมรับว่าตอนที่ทราบว่าพบร่างทุกคนใจหายมากเพราะตลอด 7 ปีที่คบกันมาเขาเป็นคนเก่ง ว่ายน้ำเก่ง ช่วยเหลือตัวเองได้ และที่เสียใจมาก ๆ คือเคยวางแผนกันไว้ว่าปีหน้าจะออกรถยนต์ด้วยกัน และอีก 3 ปี เมื่อตนอายุ 27 พอดี จะแต่งงานและมีลูกด้วยกัน 2 คน เขาอยากได้ลูกชาย ตนก็เลยตั้งชื่อไว้ว่า “ทิวากร” ความหมายคือ “พระอาทิตย์” เขาเองก็ชอบชื่อนี้ เพราะชื่อสวย ความหมายดี ซึ่งเหตุผลที่มีการวางแผนกันไว้เยอะขนาดนี้ เพราะต่างคนก็เคยคุยกันไว้ว่าจะเป็นคนสุดท้ายของกันและกัน