เหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 65 ที่เรือหลวงสุโขทัย เดินทางกลับออกจากฝั่งท่าเรือบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งห่างออกจากริมฝั่งประมาณ 20 ไมล์ทะเล ระหว่างการเดินทางมุ่งหน้ากลับไปยังท่าเรือสัตหีบ มีน้ำทะลักเข้าเรือ เนื่องจากคลื่นสูง ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับและเรือจม เป็นเหตุทำให้ทหารเรือที่โดยสารอยู่บนเรือประมาณ 106 ชีวิต ต้องใส่ชูชีพกระโดดออกจากเรือเพื่อเอาตัวรอด
วันที่ 19 ธ.ค. 65 พันจ่าเอกธวัชชัย ปฏิบัติหน้าที่กราบเรือ ผู้รอดชีวิต เจ้าตัวได้รับบาดเจ็บบริเวณแขนซ้าย ถูกกราบเรือบาดในขณะที่ลอยคออยู่ในทะเลหลังโดนลงจากเรือ บาดเป็นแผลฉีกขาด เย็บ 52 เข็ม และนิ้วมือขวา นิ้วชี้ กลาง นาง และก้อยถูกประตูลิ้นกันกลับหนี ซึ่งช่วงที่ปิดประตูลิ้นกันกลับต้านแรงดันน้ำไม่ไหว
พันจ่าเอกธวัชชัย เปิดใจว่า ตนเองปฏิบัติหน้าที่อยู่ร่วมกับผู้การเรือ ซึ่งช่วงที่ได้รับแจ้งจากส่วนห้องเครื่องว่ามีน้ำทะลักเข้าท่วมห้องเครื่องชั้นล่างของเรือหลวงสุโขทัย จึงได้ทำการตรวจสอบ พบว่ามีน้ำไหลย้อนกลับจากท่อระบายน้ำออกของเรือ โดยปกติท่อดังกล่าวจะอยู่สูงกว่าระดับน้ำ และทำหน้าที่ในการสูบน้ำออก แต่ในวันเกิดเหตุคลื่นทะเลสูงถึง 6 เมตร จึงทำให้มีน้ำทะลักเข้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน แต่ด้วยระดับน้ำที่ทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เครื่องยนต์ช่วงท้ายดับ และเครื่องระบบไฟฟ้าเสียหายไป 1 เครื่อง จึงทำให้ระบบการสูบน้ำออกทำงานไม่ได้ และน้ำก็ทะลักเข้าต่อเนื่อง ทำให้เป็นที่มาของเรือเริ่มเอียงช้าย
ตนเองจึงทำหน้าที่ในการที่จะไปปิดประตูลิ้นกันกลับ ประตูดังกล่าวจะทำหน้าที่เป็นตัวปิดล็อกเรือเป็นชั้น ๆ เช่น ถ้าหากมีน้ำท่วมบริเวณชั้นล่าง กรอบปิดประตูลิ้นกันกลับเพื่อที่จะให้น้ำไม่ขึ้นทะลักมาชั้น 2 แต่ด้วยแรงดันของน้ำทำให้ตนเองไม่สามารถปิดประตูดังกล่าวได้ จึงทำให้ทับนิ้วของตนเองได้รับบาดเจ็บ
เหตุการณ์ในวันนั้น ผู้การเรือได้มีการประเมินสถานการณ์ ก่อนที่จะมีการใช้เครื่องปั่นไฟครั้งสุดท้าย ในการประกาศ "ขอให้อพยพไปอยู่บริเวณที่สูงและประตูที่ออกได้ง่าย" จากนั้นเรือก็เริ่มที่จะจมลงฝั่งกราบซ้าย กลุ่มของลูกเรือและทหารบางส่วนได้มีการสวมใส่ชูชีพ และทยอยโดดลงจากเรือ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการสละเรือ เพราะเรือกำลังจมแล้ว
ส่วนตัวตัดสินใจกระโดดลงจากเรือ แต่เป็นคนที่มีชูชีพ แต่ในขณะที่ตนเองกระโดดลงจากเรือนั้นมีลูกเรือ รวมถึงเพื่อนคนอื่นไม่มีชูชีพ ต้องว่ายน้ำมือเปล่า ต้านทานกับคลื่นน้ำที่สูงถึง 6 เมตรที่จะไหลกระแทก ส่วนเพื่อน ๆ คนอื่นบางคนที่ไม่มีชูชีพ ตนเองต้องคอยประคอง และจับกันเอาไว้เป็นกลุ่มกันจมน้ำหรือคลื่นชัดหายไป มือซ้ายตนเองให้น้องทหารคนหนึ่งเกาะแขนเอาไว้ ส่วนมือขวาให้เพื่อนทหารอีก 3 คนเกาะ หนึ่งในนั้นมีโรคประจำตัวเป็นโรคความดัน เกาะแขนเอาไว้ท่ามกลางที่ตนเองมีเพียงชูชีพเพียงคนเดียว จึงให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ อีก 4 คนเกาะซ้ายขวา ตนเห็นน้องสำลักและเสียชีวิตลงในขณะที่เกาะกลุ่มกันอยู่ น้องปล่อยแขนเพราะหมดลมหายใจ ตนเองต้องรีบคว้าที่หูกางเองเอาไว้ คิดว่าจะต้องพาร่างน้องกลับบ้านด้วย แต่เมื่อมาถึงเรือน้ำมันที่มาจอดให้การช่วยเหลือ ระหว่างที่พยายามว่ายเข้าไปหาเรือ ท่ามกลางคลื่นที่สูงและลมแรง ทำให้มือของตนเองทั้ง 2 ข้างที่มีคนเกาะอยู่ เริ่มที่จะหมดแรงหลุดมือไป
พันจ่าเอกธวัชชัย กล่าวอีกว่า ในวันนั้นตอนที่ผู้การเรือตัดสินใจที่จะนำเรือกลับไปที่ท่าเรือสัตหีบ ไม่สามารถที่จะหาที่จอดแถวท่าเรือบางสะพาน เนื่องจากในขณะนั้นมีการประเมินคลื่นลมที่สูง สูงเพียงแค่ 4 เมตร แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงบริเวณกลางทะเลคลื่นเริ่มสูงขึ้น จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ขึ้น และที่สำคัญคลื่นลมก็ทำให้เรือได้รับความเสียหาย