หลวงพี่เนรคุณ! ตาลปัตรตีเณรตายโทรร่ำไห้บอกแม่ อยากขอขมาพ่อเด็ก คาดหลอนไอซ์ (คลิป)

วันที่ 1 ก.ค.65 ตำรวจ สภ.เขาดิน อ.โพธาราม รับแจ้งพระลูกวัดวัดเขาช่องพราน ก่อเหตุทำร้ายร่างกายสามเณร อายุ 9 ปี จนมรณภาพภายในกุฏิ ตรวจสอบพบเณรมรณภาพในสภาพนอนหงาย ตามร่ายกายทั่วตัวพบรอยฟกช้ำ มีรอยจ้ำเลือดหลายแห่ง โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ก้น ลำตัว ต้นขาและแขนทั้ง 2 ข้างกระโหลกศีรษะ บริเวณกลางหน้าผาก และท้ายทอยขวายุบ

ส่วนผู้ก่อเหตุ คือพระอรรถพล เพ็งเลา หรือ กัน อายุ 30 ปี ถูกควบคุมตัวในที่เกิดเหตุ และเมื่อตรวจสารเสพติดพบว่ามีผลเป็นบวก จึงดำเนินการให้สึกจากความเป็นพระ ด่อนดำเนินคดีตามกฎหมาย ในข้อหาทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ความตาย และข้อหายาเสพติด

นายอรรถพล ผู้ก่อเหตุ สารภาพว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 29 มิ.ย. ได้แอบเข้าไปนั่งเสพยาบ้าอยู่ในห้องน้ำของวัด ต่อมาเวลาประมาณ 19.00 น. ของวันที่ 30 มิ.ย. ตนบอกให้สามเณรท่องหนังสือสวดมนต์ แต่สามเณรไม่สามารถท่องจำได้ จึงสั่งให้สามเณรยืนกอดอก แล้วใช้ด้ามไม้ตาลปัตรตีที่ก้น 10 ที

จากนั้นสั่งให้นั่งลงแล้วตีไปตามลำตัว ใบหน้า ศีรษะ ท้ายทอย รวมไปถึงใช้มือตบใบหน้า แต่สามเณรก็นั่งนิ่งไม่มีอาการต่อสู้ เมื่อเวลา 23.00 น. ยังได้พาสามเณรไปอาบน้ำ ก่อนกลับมานอนพักผ่อน จนกระทั่งเวลา 05.00 น. ตื่นนอนเพื่อจะเตรียมตัวไปบิณฑบาต ก็พบว่าสามเณรมรณภาพไปแล้ว จึงรีบแจ้งรองเจ้าอาวาสทราบ

นายอรรถพล กล่าวทั้งน้ำตาว่า นายตั้ม พ่อเณรได้นำลูกมาฝากไว้กับตน เพราะความไว้ใจกัน ซึ่งตนเองก็รักสามเณรเหมือนลูก ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นคนทำให้สามเณรตาย ที่ผ่านมาสามเณรเป็นเด็กน่ารัก เชื่อฟัง ไม่ดื้อ เก่ง หัวไว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะตนเข้าใจว่าสามเณรท่องจำบทสวดไม่ได้จริง ๆ หรือแกล้งทำ ส่วนประโยคสุดท้ายที่ได้พูดคุยกับสามเณรคือ "พรุ่งนี้เช้าเณรจะไปบิณฑบาตด้วยกันไหม" ทั้งนี้ ตนอยากฝากถึงนายตั้มว่า "ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่กูดูแลลูกมึงไม่ได้ ทำลูกมึงตาย"

ทีมข่าวเดินทางลงพื้นที่ไปยังวัดเขาช่องพราน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี วัดดังกล่าวมีพระระดับเจ้าคณะอำเภอจำวัดอยู่ และเป็นพระเจ้าอาวาสของวัดดังกล่าวด้วย ทีมข่าวได้ขออนุญาตเข้าไปบันทึกภาพภายในกุฎิที่เกิดเหตุ พบว่าเป็นอาคารกุฎิหลังใหญ่ 2 ชั้น โดยชั้นล่าง เป็นที่พักของพระอรรถพล หรือ กัน คนก่อเหตุ

พระครูวิรุฬห์ธรรมวงศ์ ผู้ช่วยจ้าอาวาสวัดเขาช่องพราน เปิดเผยว่า ยอมรับช่วงเวลาที่เกิดเหตุนั้นไม่มีใครได้ยินเสียง โดยเฉพาะเสียงร้องเจ็บปวดของเณร เพราะเชื่อว่าถ้าหากมีการก่อเหตุภายในห้องหรือกุฎิ อาจจะเป็นการเก็บเสียง แต่หากย้อนกลับไป ยอมรับว่าที่ผ่านมาทางวัดเพิ่งจะทราบว่าตัวของน้องเณร ก็เคยถูกทำร้ายร่างกายมาก่อน เพราะเพิ่งทราบภายหลังที่เสียชีวิตประกอบกับตัวของพระอรรถพลให้การกับตำรวจ ว่าเคยทำร้ายร่างกายเณร

ทางวัดไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่า ตลอด 4 เดือนที่เณรมาจำพรรษาและบวชอยู่ที่วัด พระอรรถพลมีการทำร้ายร่างกายเณร และหากย้อนกลับไปเคยเห็นรอยพกช้ำจากตัวของเณร แต่ก็เคยสอบถามเจ้าตัวซึ่งก็ได้คำตอบว่าเป็นการซุกซนตามประสาเด็ก ไม่เคยรู้และไม่เคยได้ยินจากปากว่ามีการทำร้าย ไม่เช่นนั้นก็คงที่จะมีการแยกทั้งคู่ออกจากกัน และไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น

ส่วนประเด็นเรื่องของยาเสพติดนั้น ที่ผ่านมาก็เคยทราบว่าตัวของพระอรรถพลเคยมีประวัติถูกจับในคดียาเสพติด แต่ก็มีการพ้นโทษไปนานแล้ว ก่อนที่จะมาบวชก็ได้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมรวม ทั้งประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พร้อมทั้งมีการปฏิบัติตามระเบียบของสำนักพุทธศาสนา ว่าด้วยการตรวจปัสสาวะก่อนมาบวช รวมทั้งการตรวจสอบประวัติทางคดี เจ้าตัวก็ไม่ได้ติดเงื่อนไขตามที่สำนักพุทธ หรือระเบียบของวัดได้กำหนด จึงอนุญาตให้เจ้าตัวบวชอุปสมบท และจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ได้ และก่อนที่จะเข้ารับการอุปสมบท

ที่สำคัญในระหว่างที่บวชเป็นพระตลอด 1 พรรษา พระอรรถพลก็ทำกิจของพระและช่วยเหลืองานทางวัดปกติ ไม่เคยมีอะไรที่ทำให้ผิดปกติ หรือรับรู้ว่าหันไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นภายในวัด พระอรรถพล หรือ นายอรรถพล ก็ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนร่างของน้องเณร ทางวัดก็จะรับผิดชอบ ตั้งแต่งานตั้งบำเพ็ญกุศล กระทั่งพิธีฌาปนกิจศพ

ที่ศาลาของวัดเขาช่องพราน ที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของเณร นางกัณหา สุธาพจน์ อายุ 53 ปี ย่าของเณร เปิดใจว่า หลานเป็นคนที่เติบโตมากับปู่กับย่า เนื่องจากพ่อแยกทางกับแม่ หลังจากที่ปิดภาคเรียน เจ้าตัวจึงขอบวชเรียนที่วัดแห่งนี้ หลานได้ให้เหตุผลว่าอยากจะบวชที่วัดนี้ อยากอยู่กับพระกัน เนื่องจากค่อนข้างผูกพันกับพระคนก่อเหตุ เพราะเป็นเพื่อนของพ่อ นับถือและรักเหมือนพ่อคนหนึ่ง

ตอนที่บวชตนเองก็เห็นว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันและคอยดูแลกัน บางครั้งมารับหลานกลับบ้าน เจ้าตัวก็จะโอบกอดและรักใคร่ดูแลกันดี ตนเองก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น หากย้อนกลับไปนับตั้งแต่ที่มาบวชเป็นเณรอยู่ที่วัดแห่งนี้ ตนเองเคยรับหลานกลับบ้าน เห็นรอยพกช้ำและคล้ายกับรอยน้ำร้อนลวก เคยถามเจ้าตัวแต่ก็บอกว่าเกิดจากการต้มมาม่าและซุ่มซ่าม ส่วนรอยพกช้ำเกิดจากการเล่นซนตามประสาเด็ก เอามือไปฟาดกับประตู ทั้งที่หลานโดนนายอรรถพลทำร้ายมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยปริปากหรือฟ้องคนในครอบครัวให้รับรู้

สิ่งที่ทำให้ครอบครัวรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม คือพบว่าผลการชันสูตรศพเบื้องต้น มีซี่โครงฝั่งซ้ายหัก 2 ซี่ ซึ่งเป็นรอยที่เกิดขึ้นก่อนที่จะถูกทำร้ายก่อนถึงแก่ความตายครั้งนี้ จึงเชื่อว่าที่ผ่านมาหลานโดนทุบตี และกระทืบทำร้ายจนบาดเจ็บ แต่ไม่ยอมบอกใคร จนวันนี้มีการชันสูตรศพจึงรู้ว่ามีการทำร้าย แม้ว่าที่ผ่านมากี่ครั้งก็ตามที่หลานดูถูกนายอรรพลทำร้าย เจ้าตัวก็ปากแข็ง ไม่ยอมบอกใคร และไม่ต้องการให้นายอรรถพลเดือดร้อน ทั้งนี้ หลังจากเกิดเหตุ ตนเองเห็นสภาพหลาน ทำใจไม่ได้เพราะเห็นสภาพรอยช้ำเขียวตามตัว

ด้านนางงาม นาอารีย์ อายุ 64 ปี แม่ของพระคนก่อเหตุ เปิดใจว่า ตนไม่คาดคิดมาก่อนว่าพระลูกชายจะไปก่อเหตุทำร้ายเณร ทั้งที่ผ่านมาเณรก็รักลูกชายเหมือนพ่อคนหนึ่ง เนื่องจากลูกชายสนิทกับพ่อและลุงของเณร ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นตนเองก็รู้สึกเสียใจต่อการกระทำของลูกชาย ยืนยันว่าจะไม่มีการประกันตัว ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

ที่สำคัญลูกชายก็บอกกับครอบครัวว่าไม่ต้องยุ่ง จะชดใช้เวรกรรมตามที่ก่อเอาไว้ ดังนั้นตนเองก็ต้องว่าไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนในเรื่องของการไปร่วมงานศพของเณร ตนเองได้ฝากให้หลานและสามีไปแทน ส่วนตัวเพิ่งจะออกจากโรงพยาบาลจากอาการเส้นเลือดในสมองแตก ดังนั้น จึงไม่พร้อมที่จะไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง แต่ก็ฝากแสดงความเสียใจและขอโทษไปยังครอบครัวของเณร

ส่วนในวันเกิดเหตุ เมื่อเช้านี้ตนเองตื่นมาเพื่อที่จะสวดมนต์ แต่เจ้าตัวได้โทรศัพท์มาหา ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเวลาประมาณก่อน 06.00 น. เจ้าตัวบอกว่า "แม่ เณรเป็นอะไรไม่รู้ นอนไม่ตื่น เมื่อคืนนี้ก่อนเข้านอน ตนเองมีการทุบตีสั่งสอนเณร จากนั้นพากันอาบน้ำ และพูดคุยกันตามปกติก่อนแยกกันนอน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไมแนนถึงไม่ตื่น แม่มาช่วยดูให้หน่อย" หลังจากที่ตนเองรับสายจากพระลูกชายก็ได้ให้พ่อและหลานไปดู แต่ปรากฏว่าตัวของเณรเสียชีวิตแล้ว ส่วนตัวก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไร รู้แต่ว่าลูกชายมีการทุบตีเณร ซึ่งก็อาจเป็นส่วนหรือสาเหตุที่ทำให้ตายก็ได้