แฉเล่ห์อ้างเป็นตร.ใหญ่ หลอกเหยื่อโดนคดีฟอกเงิน บีบโอนตังค์เพื่อสอบก่อนเชิดเงินนับแสน (คลิป)

21 มิ.ย. 60
กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก Supachok Thongprasit โพสต์ภาพการโอนเงินจากบัญชีธนาคารพร้อมข้อความระบุในลักษณะโดนหลอกให้โอนเงินซึ่งมีผู้อ้างตัวว่าเป็นพนักงานไปรษณีย์ โทรมาบอกว่ามีพัสดุตกค้างไม่สามารถส่งได้ เพราะเป็นเงินกับสมุดบัญชีธนาคาร ซึ่งผิด พ.ร.บ.ไปรษณีย์ มีการโอนสายให้ชายที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเผยว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้อาจมีส่วนในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ในขบวนการค้ายาเสพติด จึงขอตรวจสอบบัญชี ก่อนให้โอนเงินทั้งหมดไปยังอีกบัญชี จำนวนเงิน กว่า 100,0000 บาท ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊กรายดังกล่าวเพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอกหลังโอนเงินทั้งหมดและไม่สามารถระงับธุรกรรมได้ ล่าสุด วันนี้ (20 มิ.ย. 60) นายศุภโชค ทองประสิทธิ์ อายุ 25 ปี นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าเหตุการณ์เมื่อวานที่ผ่านมา (19 มิ.ย.) เวลาประมาณ 15.00 น. ตนได้รับสายโทรศัพท์ที่ปลายสายอ้างว่าตนมีพัสดุที่กำลังส่งไปยังจังหวัดทางภาคใต้ ถึงนางวิไล จันทวงศ์ ค้างอยู่ที่ไปรษณีย์ ทั้งที่ตนไม่เคยส่งและไม่รู้จักชื่อผู้รับแต่อย่างใด โดยปลายสายขอให้ยืนยันตัวตน ด้วยการบอกชื่อพร้อมเลขที่บัตรประชาชน ซึ่งเมื่อตนบอกไป ก็ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภายในพัสดุดังกล่าวเป็นเงินสดพร้อมสมุดบัญชีธนาคารอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ไปรษณีย์ไทย ปลายสายจึงโอนสายให้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายศุภโชค ทองประสิทธิ์ ผู้เสียหาย
จากนั้นมีชายรายหนึ่งอ้างว่าเป็นตำรวจยศร้อยตำรวจเอกประจำอยู่ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 โทรศัพท์มาบอกว่า พัสดุที่กำลังส่งมีบัญชีธนาคารทีเป็นชื่อตนรวมอยู่ด้วย โดยนางวิไล ซึ่งเป็นปลายทางผู้รับ เป็นพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนนี้ถูกจับกุมดำเนินคดีเกี่ยวกับการฟอกเงินในขบวนการยาเสพติด จึงอยากขอตรวจสอบบัญชีเพื่อความบริสุทธิ์ใจ นายศุภโชคบอกว่าในตอนแรกตนลังเล ปลายสายจึงบอกให้นำเบอร์โทรศัพท์ซึ่งเป็นเบอร์ของกองบังคับการสืบสวนภาค 6 ไปเช็คกับระบบตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งตนก็ลองโทรไปสอบถาม พบว่าเบอร์ตรงกัน และเมื่อค้นชื่อชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจรายนี้ ก็พบว่ามีชื่อเป็นตำรวจในสังกัดกองบังคับการสืบสวนจริง ต่อมา ชายดังกล่าวก็โทรกลับมาด้วยเบอร์ที่ตนเช็คแล้วว่ากองบังคับการสืบสวนภาค 6 โดยชายรายนี้บอกว่าจะต้องตรวจสอบบัญชี ซึ่งสตง. และธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมกันตรวจ ใช้เวลา 2-3 เดือน ระหว่างนั้นจะไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้ ซึ่งเมื่อตนบอกไปว่าไม่สะดวก ปลายสายจึงเสนออีกวิธี โดยให้ตำรวจชุดสืบสวนร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย นำเงินของตนมาตรวจสอบหมายเลขบนธนบัตร ซึ่งตนจะต้องโยกย้ายทรัพย์สินไปอีกที่ จากนั้นจึงสอบถามเรื่องยอดเงินในบัญชี พร้อมบอกให้เดินไปที่ตู้กดเงินออกมาทั้งหมด ก่อนนำเงินไปใส่ในตู้โอนเงิน ระหว่างทางก็มีการพูดคุยโดยไม่วางสาย ตนจึงกดเงินออกมากว่า 70,000 บาท เมื่อเดินไปถึงตู้โอนเงินของธนาคารไทยพานิชย์ สาขามาบุญครอง ตำรวจรายดังกล่าว บอกว่าจะโอนสายไปให้ตำรวจอีกรายซึ่งยศใหญ่กว่า จากนั้นตนก็ได้คุยกับชายอีกราย อ้างว่าเป็น พ.ต.ต.สุกิจ สมณะ บอกเลขบัญชีให้ตนใส่เงินไปในช่องฝากเงิน ซึ่งรอบแรกตนใส่ไป 74,490 บาท จากนั้นตำรวจรายนี้ ถามว่ายังมียอดเงินเหลือหรือไม่ เมื่อตอบกลับไปว่ามี ปลายสายจึงบอกให้ฝากเงินอีกครั้ง แต่ตนไม่สามารถกดเงินออกมาฝากได้แล้ว เพราะเต็มวงเงินการกดต่อวัน ตำรวจรายดังกล่าว จึงอ้างว่าสามารถทำโดยโอนผ่านบัตรเอทีเอ็มได้เลย ตนจึงโอนไปอีก 2 ครั้ง ครั้งแรก จำนวน 29,986 บาท ครั้งที่ 2 จำนวน 6,499 บาท ซึ่งยอมรับว่าลืมฉุกคิดว่า ชายรายดังกล่าวอ้างว่า ต้องตรวจสอบตัวเลขบนธนบัตร จึงต้องถอนเงินออกมาก่อนโอนไปอีกบัญชี เมื่อทำธุรกรรมเสร็จสิ้นทั้ง 3 ครั้ง รวมจำนวนเงิน 110,975 บาท ตำรวจปลายสาย ยังบอกให้ฉีกสลิปการโอนทิ้ง เพื่อความปลอดภัย และตอนนี้อยู่ในชั้นสืบสวน ห้ามนำเรื่องดังกล่าวไปบอกคนอื่น รวมถึงธุรกรรมทางการเงินจะไม่สามารถทำได้ภายใน 2-3 วัน ก่อนวางสายไป หลังจากนั้นจึงได้โทรปรึกษาผู้ใหญ่ เชื่อว่าน่าจะถูกหลอก จึงรีบไปที่ธนาคารขอระงับการทำธุรกรรมการโอนเงิน แต่ไม่สามารถระงับได้ ต่อมาได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเหตุผลหลักที่เชื่อว่าเป็นความจริง เพราะเรื่องหมายเลขโทรศัพท์ และชื่อตำรวจที่มีอยู่จริง ประกอบกับกลัวเรื่องการกล่าวอ้างเกี่ยวกับคดีฟอกเงิน จึงหลงเชื่อ เงินทั้งหมดไม่น่าจะได้คืน แต่อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับตัวคนร้ายมาให้ได้ เพื่อไม่ให้คนอื่นถูกหลอกต่อไป ด้าน พล.ต.ต.สุกิจ สมณะ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ที่ถูกอ้างชื่อว่า หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงิน เปิดเผยว่าได้ทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีพนักงานสอบสวน 2-3 พื้นที่ โทรมาสอบถามเรื่องดังกล่าว ซึ่ง พล.ต.ต.สุกิจยืนยันว่าตนไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว แต่ยอมรับว่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวเป็นของ ตำรวจภูธรภาค 6 จริง ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการใช้วิธีการต่างๆ ให้หมายเลขที่แสดงเป็นเบอร์ของตำรวจ โดยที่ไม่ได้โทรจากเครื่องของตำรวจ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ภาค 6 กำลังติดตามเรื่องดังกล่าว เพราะพบว่ามีเหตุเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใช้พฤติการณ์แอบอ้างชื่อตำรวจหลายรายแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็สามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้จำนวน 2 ราย ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขณะกำลังจะหนีออกนอกประเทศ โดยได้นำไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพิจิตร แต่เชื่อว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายรายที่ยังหลบหนี

advertisement

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ