วันที่ 18 เม.ย. 65 ที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมประชุมเร่งรัดคดี และเรียกชุดสืบสวนสอบสวนในคดีที่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีการเกี่ยวข้องกับคดีข่มขืน อนาจารหญิงหลายราย ทั้งนี้ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เดินทางมาพร้อมผู้เสียหายเพื่อเข้าแจ้งความเพิ่มเติม
ต่อมาทางด้าน น.ส.สิบสาม (นามสมมติ) เปิดใจเล่าว่า ตนเองโดนหลอกลวงว่าทางด้านนักการเมืองดังกล่าวลืมของไว้ที่ออฟฟิศ แต่จริง ๆ คือพาเข้าห้องนอน เมื่อหันไปทางซ้ายมือเจอเป็นห้องนอนก็ถูกผลักเข้าไป ตนพยายามทุกอย่างทั้งกรี๊ด ชัก และบอกว่าเป็นประจำเดือน แต่ก็สู้แรงไม่ไหวจึงถูกข่มขืนกระทำชำเรา อีกทั้งเขาเข้ามาหาตนเองในลักษณะพยายามตามจีบตนเอง อีกทั้งหลังจากที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ เขาพูดว่า "ใครจะช่วยได้ ใครจะเชื่อเธอ" หลายคนบอกไม่เคยเจอพฤติกรรมในมุมนี้ ตนได้รู้จักเขาเพราะเขาไปเบอร์ตนจากคนอื่น
ซึ่งหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์นี้มาถือว่าเป็นตราบาปชีวิต แต่วันนี้ได้ออกมาพูดเป็นการปลดล็อก อีกทั้งพฤติกรรมของเขามั่นใจว่ากฎหมายไม่สามารถทำอะไรเขาได้ อยากฝากว่าการปฏิเสธของคุณจะเป็นหลักฐานมัดตัวตัวเอง วันนี้ตนขอใช้ไม้ซีกมางัดคอนกรีต
นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่เดินทางมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยมีทนายตั้มพาเข้าพบกับตำรวจ ผู้เสียหายคือน.ส.สิบสี่ สิบห้า และสิบหก
ด้านนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายศูนย์ทนายคลายทุกข์ แสดงความคิดเห็นถึงเหตุดังกล่าวว่า ตนมองคดีนี้ว่ามีเพียงเคสแรกที่ออกมาเปิดเผยเพียงเคสเดียวที่น่าจะพอมีพยานหลักฐานในการแจ้งข้อหา เพราะเป็นเหตุที่เพิ่งเกิดขึ้นน่าจะยังพอมีหลักฐานและพยานต่าง ๆ หลงเหลือ อาทิ ภาพกล้องวงจรปิด ลักษณะบาดแผล ร่องรอยการกระทำชำเรา ร่องรอยการต่อสู้ขัดขวาง ส่วนเคสอื่น ๆ เป็นเหตุที่เกิดขึ้นมานานแล้ว อาจจะไม่หลงเหลือพยานหลักฐาน ทำให้ไม่มีมูลในการสั่งฟ้อง
เปรียบเทียบเคสของผู้เสียหายที่ไม่มีพยานหลักฐานเหมือนคดีคนค้ายาเสพติด แม้ว่าผู้ค้าจะรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเคยทำมาแล้วหลายครั้ง แต่หากปราศจากพยานหลักฐาน เมื่อขึ้นศาลผู้ค้ายาก็จะปฏิเสธแล้วอ้างว่าเพิ่งกระทำความผิดเป็นครั้งแรก ทำให้ศาลเพียงโทษที่มีพยานหลักฐาน
ส่วนคลิปเสียงที่มีการนำออกมาเปิดเผยนั้น ตนมองว่าเป็นการหลอกล่อให้ผู้ต้องหาพูดถือว่าเป็นหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ ไม่สามารถใช้อ้างอิงในชั้นศาลได้
นอกจากนี้ ลูกความของตัวเองที่ถูกฟ้องฐานข่มขืน แต่เมื่อปราศจากพยานหลักฐานที่เป็นจริง ทำให้โจทก์ต้องกลายเป็นผู้ต้องหาเสียเอง เนื่องจากถูกฟ้องกลับ อีกทั้ง ทนายเดชายังพูดย้อนถึงคดีการข่มขืนของนักการเมืองในช่วงปี 2545-2547 ว่าขณะนั้นมีนักการเมืองระดับรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงคนหนึ่ง ถูกอดีตลูกจ้างหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง แจ้งความกล่าวหาว่าถูกนักการเมืองรายนี้ข่มขืนกระทำชำเราที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่สุดท้ายคดีพลิก เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าฝ่ายหญิงสมยอม ทำให้อดีตลูกจ้างหน่วยงานราชการกลับถูกฟ้องกลับฐานกรรโชกทรัพย์ รีดเอาทรัพย์ แจ้งความเท็จ และหมิ่นประมาท
ดังนั้นในกรณีของนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทนายเดชามองว่านายปริญญ์น่าจะมีการฟ้องกลับ อาทิ แจ้งความเท็จ กลั้นแกล้งผู้อื่น หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา รวมโทษแล้วหลายปี อีกทั้งยังมีคว่าเสียหายจำนวนมาก เนื่องจากนายปริญญ์เป็นคนมีชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคม ตนมองว่าทีมกฎหมายของนายปริญญ์ค่อนข้างมีความชำนาญและรอบครอบ ซึ่งพิจารณาจากการที่นายปริญญ์เข้ามามอบตัวก่อนการออกหมายจับ อีกทั้งนายปริญญ์ยังปฏิเสธการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นคอนโด เนื่องจากไม่มีหมายค้น ซึ่งหมายค้นมีประโยนช์กับทั้งผู้ต้องหาและผู้เสียหาย เนื่องจากการค้นจะมีการจดบันทึกและถ่ายภาพส่งให้ศาล
ทั้งนี้ หากจะมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ก็สามารถมองได้ เพราะต่อให้ผู้ต้องหาผิดจริงหรือไม่ผิด นายปริญญ์และพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้รับความเสียหาย ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งต่าง ๆ โดยการเลือกตั้งใกล้ที่สุดคือผู้ว่ากรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม เหตุดังกล่าวคงจะต้องรอให้ศาลตัดสิน ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะเป็นไปในทิศทางใด