“ญาณี - แม่อี๊ด” ปล่อยโฮช็อกสิ้นเพื่อนรัก “เศรษฐา” ยกเป็นต้นแบบผู้มีแต่ให้ และคำลาครั้งสุดท้าย (คลิป)

คนในแวดวงการบันเทิงไทยยังคงอยู่ในความโศกเศร้าเสียใจ หลังการจากไปของศิลปินแห่งชาติและนักแสดงอาวุโส “ต้อย - เศรษฐา ศิระฉายา” ในวัย 77 ปี เวลา 04.41 น. ของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 65 ซึ่งก่อนหน้านี้อาต้อย ก็ได้เข้ารับการรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งปอดร่วม 3 ปี ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์

ล่าสุดวันที่ 21 ก.พ.65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี รายงานว่าในช่วงเช้าครอบครัว "ศิระฉายา" ได้เดินทางไปรับศพ "ต้อย - เศรษฐา ศิระฉายา" ที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพื่อนำร่างกลับมาประกอบพิธีทางศาสนา ต่อมาเวลา 13.00 น. ร่างของศิลปินแห่งชาติเคลื่อนมาถึงวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ต่อมา "เปี๊ยก - อรัญญา นามวงศ์" คู่ชีวิตของอาต้อย ก็ได้เดินทางมาถึงวัด

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความโศกเศร้าของคนในครอบครัว และคนวงการบันเทิง โดยมีปู - ปริศณา กล่ำพินิจ, อาโย-ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา, แม่อี๊ด - ดวงใจ หทัยกาญจน์, กอบสุข จารุจินดา, จิ๊ก - เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์, มี๊ - พิสมัย วิลัยศักดิ์, อาจิ๋ม มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช และวินัย พันธุรักษ์ พร้อมด้วยพิชัย ทองเนียม สมาชิกที่เหลืออยู่ในปัจจุบันของวงดิอิมพอสซิเบิ้ล รวมไปถึงสมาชิกจากบ้าน AF อีกด้วย

ต่อมาเวลา 17.30 น. มีพิธีพระราชทานพวงมาลา พร้อมน้ำหลวงอาบศพ และในเวลา 19.00 น. เป็นพิธีสวดพระอภิธรรมศพ ซึ่งจะสวดไปจนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 65 ซึ่งหลังเสร็จสิ้นพิธีสวดอภิธรรมศพครบ 7 วัน ครอบครัวจะเก็บร่างไว้อีก 100 วัน จากนั้นจะดำเนินการขอพระราชทานเพลิงศพต่อไป

ทั้งนี้ ครอบครัวศิระฉายาได้แจ้งว่าของดพวงหรีดดอกไม้ และเปลี่ยนเป็นเชิญร่วมบริจาคทำบุญสมทบทุนผ่านชื่อบัญชี มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ ในพระอุปถัมภ์ฯ ธนาคารทหารไทย เลขที่ 236-1-00491-0 ธนาคารกรุงเทพ เลขที่ 942-3-00099-2 เพื่อทำบุญร่วมกัน

"อีฟ - พุทธิดา ศิระฉายา" เปิดเผยว่า ทุกความรู้สึกมันมีช่วงเวลา เพราะตนรู้ดีแล้วว่าสักวันต้องลากัน ถึงจะคิดว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำทุกอย่างแล้ว พร้อมแล้ว ก็คงจะไม่พอ ส่วนคุณพ่อทานได้น้อยลงมาหลายเดือน ช่วงก่อนปีใหม่ 65 ก็ดีขึ้นเป็นพัก ๆ บางช่วงเริ่มสดชื่นมากขึ้น ก็จะทานได้มาก จะสลับ ๆ กันแบบนี้เรื่อยมา

"คำว่าทานได้คือ 8-9 ช้อนแค่นั้นเลย ถ้าทานไม่ได้คือไม่ทานเลย หรือทานแค่ 2-3 ช้อน ช้อนเล็ก ๆ แล้วคุณพ่อไม่อยากใส่สายให้อาหาร เพราะว่าคุณพ่อไม่ชอบ บางคนก็บอกว่าทำไมถึงไม่บังคับ ครอบครัวเราอยากให้คุณพ่อมีความสุขที่สุด บางทีการบังคับจิตใจคนไข้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุดที่ควรทำ เลือกทางที่คุณพ่อสบายใจ เพราะว่าสุดท้ายแล้ว เราก็ยังโชคดีที่ได้ทำให้พ่อมีความสุข ฝืนใจบ้างที่ต้องทำตอนกินยา อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า รู้งี้เราไม่บังคับพ่อดีกว่า" อีฟ - พุทธิดา กล่าว 

ทั้งนี้ หลาย ๆ คนเข้าใจว่าพ่อของตนป่วยไม่นาน แต่จริง ๆ แล้วพ่อเป็นมา 3 ปีกว่าแล้ว ตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วก็มีหนักบ้างเบาบ้าง แต่จริง ๆ ก็ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอด ซึ่งก่อนจะไปโรงพยาบาลครั้งล่าสุด พ่อไม่ได้มีอาการอะไรเพิ่มเติม แต่ที่ไปโรงพยาบาลเพราะตรงกับวันที่แพทย์นัดพบ และตั้งใจว่าอยากให้พ่อไปสัก 2-3 วัน เนื่องจากพ่อทานไม่ได้และดูผอมลงเยอะมาก ตนอุ้มตัวลอยได้เลยเพราะตัวเบามาก ๆ ก็เลยตัดสินใจว่า อย่างน้อยในวันที่แพทย์นัด อาจจะให้น้ำเกลือ หรือให้สารอาหารหรือวิตตามินเพิ่มเติมให้สดชื่นขึ้น คิดว่าเข้าไปสักวัน 2 วัน ก็น่าจะได้กลับบ้าน

แต่ปรากฎว่าพอเข้าไปจริง ๆ พ่อก็มีเรื่องเสมหะที่เหนียวข้นมาก และทำให้หายใจไม่ออก จึงต้องดูดเสมหะ และพ่อค่อนข้างนอนราบแล้วไม่สบาย คงอึดอัดหายใจไม่ออก การดูดเสมหะก็คงเจ็บและทำให้เหนื่อย ความดันก็ตก แพทย์ก็พยายามใช้ยากระตุ้น ที่ผ่านมานับว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากพอสมควร นอกจากพ่อแม่ก็ค่อนข้างเหนื่อย เพราะพ่อไม่กิน แม่ก็ไม่อยากกิน เขาอยู่ด้วยกันมา เขาดูแลกันมา

"ก็คุยกันว่าถ้าพ่อไปแค่ 2-3 วัน แล้วเรามีธุระที่จะต้องไปคุยงานที่เสม็ด อย่างนั้นพาแม่ไปด้วย เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน คิดว่ากลับมาเราก็ไปรับพ่อกลับบ้าน นี่คือที่เราคุยกัน ในวันที่เดินทางเช้า เราก็ส่งพ่อขึ้นรถเรียบร้อย แต่ด้วยความที่ปกติจะเฝ้าทีละ 5 วัน 7 วัน รอบนี้เราคิดว่าถ้า 2 – 3 วัน เลยให้คนดูแลกับผู้ช่วยไปเฝ้าไข้ อีฟจะพาแม่ไปพักผ่อนบ้าง พอส่งพ่อขึ้นรถเสร็จเราก็เดินทาง แล้วก็โทรคุยกันว่าพ่อได้ห้องหรือยัง ก็คุยกันเป็นช่วง ๆ ดูไม่มีอะไรเลย" อีฟ - พุทธิดา เผยให้ฟัง 

นอกจากนี้ ตนก็เสียใจไม่น้อย เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดแล้วทุกคนอาจจะโทษตัวเอง ใคร ๆ ก็โทษตัวเอง ตอนแรกก็รู้สึกหนักอึ้ง ทุกคนคงรู้สึกหนักอึ้งเช่นกัน แต่แม่เป็นคนที่เข้าใจมากที่สุด แม่พูดกับตนว่า "พ่อมีชีวิตที่ดี ดีมาก ๆ" แล้วสิ่งเดียวที่พวกตนทำให้พ่อได้ก็คือ ทำให้เขาหมดความกังวลใจ หมดห่วง พ่อจะหลับแล้วก็ไม่ควรให้ต้องมารู้สึกกังวล พ่อคงจะรู้ว่าเราอยู่ได้ และเราจะไปต่อได้ 

อย่างไรก็ตาม พ่อของตนสอนให้ตนเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ พ่อเคยเขียนว่า “คนแท้ต้องไม่ท้อ คนท้อไม่ใช่คนแท้” คำ ๆ นี้ตนจำได้ดี เพราะพ่อจะสอนให้ตนเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ เนื่องจากพ่อเป็นคนที่ถ่อมตัว ไม่เคยคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ หรือมีอภิสิทธิ์ชนเหนือคนอื่น นั่นคือทำให้ทุก ๆ คนรักพ่อของตนอย่างที่ได้เห็นว่าวันนี้มีคนมาร่วมงานมากแค่ไหน 

ขณะที่ "อาวินัย พันธุรักษ์" กล่าวว่า ตนทราบข่าวเมื่อวานนี้ (20 ก.พ.65) เวลา 06.00 น. ว่าอาต้อยเสียแล้ว ตนก็อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะยอมรับว่าใจหาย เพราะตนก็อยู่ด้วยกับอาต้อยมาร่วม 50 กว่าปี ทำงานสร้างฐานะ สร้างชื่อเสียง และสร้างผลงานด้วยกันมาเกือบทั้งชีวิต 

ในวันนี้นับเป็นวันที่เสียใจมาก ๆ และใจหาย เพราะอาต้อยเป็นพี่ชายที่น่ารัก โอบอ้อมอารี รักพี่รักน้อง รักเพื่อนฝูง มีอะไรก็ดูแลกันตลอด แม้กระทั้งในเวลาที่ตนเจ็บป่วย อาต้อยก็มาดูแลเป็นอย่างดี ทำให้ตนมองว่าอาต้อยเป็นบุคคลพิเศษ มีปฏิภาณไหวพริบที่ดีมาก ๆ เวลาอยู่บนเวทีจะสร้างอารมณ์ สร้างความสุขให้กับแฟนเพลงทุก ๆ คอนเสิร์ตได้ตลอดเวลา 

หากพูดถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ที่มีความอบอุ่นใจดีทุกคนก็คงนึกถึง "ต้อย - เศรษฐา ศิระฉายา" เช่นเดียวกับ "โย - ทัศน์วรรณ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา" ก็ได้เดินทางมาร่วมงานรดน้ำศพ โดยอาโย ให้สัมภาษณ์ว่า ตนกับอาต้อยสนิทกันมาก ๆ รักนับถือกันมาตลอด ซึ่งตนรู้ข่าวและอาการของอาต้อยทุกระยะ เพราะปกติอาต้อยกับตนจะทักไลน์หากันทุกวัน เขาถือเป็นพี่ชาย เป็นกันเอง ทุกครั้งที่เจออาต้อย ตนก็จะมีแต่ความสุข ตนได้มีโอกาสไปเยี่ยมช่วงที่เริ่ม จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ได้วิดีโอคอลให้กำลังใจกัน แต่อาต้อยจะพูดเสียงเบา ๆ และพยายามทานอาหารเพื่อฟื้นฟูร่างกาย

สำหรับความประทับใจที่มีต่ออาต้อย เรียกได้ว่าพี่ชายคนนี้เป็นทุก ๆ อย่าง ซึ่งมีแต่รอยยิ้มเสียงหัวเราะ อาต้อยจะมีมุกตลกให้ทุกคนอมยิ้มตลอดเวลา และทุกครั้งที่ไปกินข้าวกัน อาต้อยก็จะชอบพาไปกินของอร่อย ๆ มีหลายร้านที่ทุกคนได้รู้จักจากอาต้อย และตนขอคอนเฟิร์มว่าอาต้อยเป็นคนทำกับข้าวอร่อยมากด้วย 

"อาอี๊ด ดวงใจ" ให้สัมภาษณ์ว่า การสูญเสียครั้งนี้เหมือนเสียพี่ชายสุดที่รัก เพราะอาต้อยเป็นพี่ชายที่แสนดีของตน 1,000% ก่อนที่อาต้อยจะจากไป 3 วัน ตนก็ยังได้คุยวิดีโอคอล บอกให้อาต้อยทานข้าวเยอะ ๆ เพราะตนและเพื่อน ๆ ทราบข่าวจากอาเปี๊ยก ภรรยาของอาต้อย ว่าอาต้อยไม่ทานข้าว ตนกับเพื่อน ๆ จึงวิดีโอคอลไปให้กำลังใจ และพิมพ์แชตบอกว่า "เดี๋ยวไปให้หอมแก้ม ทานข้าวเยอะ ๆ นะคะ หายไว ๆ" ซึ่งตอนนั้นอาอี๊ด บอกว่าอาต้อยยังพูดได้ ยิ้มได้ แต่ก็รับรู้ว่าเหนื่อย อาต้อยก็ได้แต่บอกว่า "คิดถึงนะ รักทุกคน"

ส่วนละครเรื่อง วัยแสบสาแหรกขาด 2 เป็นเรื่องสุดท้ายที่ตนได้เล่นกับอาต้อย ตอนนั้นอาต้อยเริ่มไม่สบายแล้ว เริ่มเหนื่อย อยากนอน อยากพัก จนตนต้องบอกกับผู้จัดการว่าอาต้อยไม่ค่อยสบาย แต่อาต้อยใจสู้มาก ๆ จนผู้กำกับต้องสลับบทอาต้อยมาให้ตนพูดแทน แต่ระหว่างที่ตนถ่ายละครด้วยกัน รวมถึงตลอดระยะเวลาการรักษาตัว ตนก็บอกอาต้อยเสมอว่า "พี่ต้อยต้องดีขึ้น พี่ต้อยต้องหายนะ" แม้ว่าวันนี้ อาต้อยจะไม่อยู่แล้ว แต่ตนก็จะบอกกับรุปของอาต้อยว่า ให้ไปสบาย ไม่ต้องกังวล และตนก็จะให้กำลังใจครอบครัว "ศิระฉายา" เสมอ ๆ 

"ตุ๊ก ญาณี" ซึ่งเคยร่วมงานกันกับอาต้อย ในรายการมาตามนัด และสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กล่าวยอมรับว่า ตอนที่ทราบว่าก็รู้สึกช็อก แต่ก็ทำใจไว้แล้ว โดยช่วงที่อาต้อยรักษาตัวอยู่ ตนจะโทรไปหาก็โทรไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าเปลี่ยนเบอร์หรือเปล่า พอจะไปเยี่ยมก็ไม่สามารถเข้าไปได้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19

สำหรับการทำงานร่วมกันในอดีต อาต้อย เป็นคนน่ารักมาก ๆ และมักจะเรียกตนว่า "อิอ้วน" เพราะตอนนั้นตนน้ำหนัก 72 กิโลกรัม หลังจากนั้นตนก็ลดน้ำหนักลงมาเหลือ 46 กิโลกรัม เขาก็เรียกว่า "อิกุ้งแห้ง" เพราะเขาอยากให้ตนกินข้าว ซึ่งอาต้อยก็เปรียบเสมือนไอดอลที่ตนเฝ้าติดตามตลอด ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้มาร่วมทำงานกับคนที่เราเฝ้าติดตามผลงานของเขา

"ก็เปรียบเสมือนพี่ชายที่แสนดี ปรึกษาเขาได้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องจะมีแฟน และเขาเป็นคนที่มีวินัยของการทำงานมาก ๆ อย่างเช่นการจำบทละครฉากยาว ๆ เขาจำได้เร็วมาก ส่วนเหตุการณ์ประทับใจมันเยอะมาก ๆ มีเหตุการณ์หนึ่งที่พอเขารู้ว่าพี่กลัวจิ้งจก แล้วเขาก็แอบเอามาใส่ในกระเป๋า ลวงไปเจอในกระเป๋าก็ไม่กล้าดึงมือออก เพราะตอนนั้นรู้สึกกลัวจริง ๆ แต่ก็ยังต้องเดินหน้าถ่ายรายการต่อไป พี่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธนะ อีกเหตุการณ์เขาเป็นคนใจดีมาก ชุดเป็นหมื่นเขาก็ซื้อให้ แม้กระทั่งลูกพี่ไปเรียนต่างประเทศ อาต้อยก็ใส่ซองให้หลาน" ตุ๊ก ญาณี กล่าวทิ้งท้าย 

หมู พิมพ์ผกา โพสต์อาลัยกราบลาอาต้อย ระบุว่า "หนูขอกราบลาคุณอา…อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา ที่เคารพรัก ทราบข่าววันนี้ หัวใจเหมือนหล่นหาย และแล้ววันที่ต้องจากลาก็มาถึง รีบไปค้นหาภาพความทรงจำเมื่อครั้งได้ร่วมงานกับอา รายการ น่ารักน่าลุ้น เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่า มีความสุขที่สุดในชีวิต เวลา มันช่างรวดเร็ว ไม่เคยรอใคร

คุณอาคือผู้ให้ เป็นแบบอย่างที่ทำให้หนูได้เห็น เป็นคนที่อารมณ์ดีที่มีแต่พลังบวกและรอยยิ้ม ในทุกเช้าที่นัดอัดรายการ จะมีชาวบ้านมานั่งรออาที่สตูดิโอ หมูถามทีมงานว่าเค้ามาทำอะไรกัน ทุกอาทิตย์ ทีมงานบอกว่ามารอพบอาต้อย เพื่อขอความอนุเคราะห์ อาต้อยได้พูดคุย ถามไถ่ แล้วให้เงินตามความจำเป็นของแต่ละคน เป็นภาพที่หนูเห็น ตลอดเวลา ที่ได้ร่วมงานกับอา ในยามที่มั่งมี อาต้อยมักแบ่งปัน ให้คนด้อยโอกาสเสมอ มีแต่รอยยิ้มให้ทุกคนที่ได้พบเจอ หนูดีใจที่ได้เห็น ได้อยู่ ได้รับคำสอน จากศิลปินที่ทรงคุณค่าอย่าง อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา ทุกอย่างที่หนูเห็นอาทำ มันเข้ามาในจิตสำนึกให้หนูได้กระทำตาม และสั่งสอนอบรมลูกหลานต่อไป ขอเก็บบันทึกไว้เป็นความทรงจำ ด้วยความอาลัยยิ่ง กราบลาอาต้อย #ศิลปินแห่งชาติ #อัจฉริยะแห่งวงการบันเทิง"

"หนุ่ม กรรชัย" โพสต์ไอจี @kanchai kanchai ระบุว่า "ขอบคุณสำหรับความเมตตา และคำสอนของอาต้อยทุก ๆ คำสอนครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือ เรื่องส่วนตัว...ผมจะนำคำสอนของอามาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการทำงานตลอดไปครับ รักและเคารพอามากๆนะครับ กราบลาครับอาต้อย กราบลาครับเตี่ย 🙏🏼🖤 20/02/65"

ตุ๊ก - ดวงตา ตุงคะมณี ระบุว่า "กราบลาพี่ต้อยพี่ชายที่แสนดีของน้องๆด้วยรักและเคารพ หลับให้สบาย มุ่งสู่สุคติภูมินะจ๊ะพี่"

ตั๊ก - มยุรา เศวตศิลา โพสต์ข้อความว่า "ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัว"ศิระฉายา" ตั๊กและคุณหนุ่ยจะคิดถึงพี่ชายที่น่ารักของเราคนนี้ตลอดไป"

"ป๋อ - ณัฐวุฒิ สะกิดใจ" พระเอกละคร โพสต์ไอจี @poh_natthawut ระบุว่า "กราบลาอาต้อยด้วยความอาลัยรักอย่างสูงครับ #ขอแสดงความเสียใจกับอาเปี๊ยก น้องอีฟและครอบครัวด้วยนะครับ"

"ผมชอบมากเลยตอนอาต้อยเป็นพิธีกรรายการอะคาเดมี่ แฟนเทเชีย...สุขุม นุ่ม ตลก สนุกสนาน คมคาย ร้องเพลงเพราะ มีจังหวะดราม่า ซาบซึ้ง ประทับใจ…ผมแอบหลงไหลการทำหน้าที่พิธีกรของอาต้อยมาก ๆ ครบรส ครบทุกความรู้สึก อิ่มเอมในการชม ประทับใจทุกครั้งที่นึกถึง...กราบลาอาต้อยครับ"