กรณีกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ร่วมกับตัวแทนเจ้าหน้าที่ บก.ปทส. บก.รน. แถลงผลปฏิบัติการทลายเครือข่ายขบวนการฉ้อโกงบริษัทประกันภัย มีมูลค่าเสียหาย 20 ล้านบาท หลังนำกำลังตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 15 จุดทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จับได้ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ปัตตานี และกรุงเทพฯ โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 16 ราย
พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. ให้ข้อมูลว่า ในคดีนี้กองปราบปรามได้ติดตามและขยายผลตั้งแต่ปี 59 ภายหลังมีบริษัทประกันภัยรวมกว่า 15 แห่ง โดยตัวแทนของบริษัทประกันภัยได้ตรวจสอบข้อมูลคาดว่าอาจจะมีตัวแทน และผู้เอาประกันหลายคนเข้าข่ายฉ้อโกงบริษัทประกัน โดยลักษณะไม่ได้เจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุ แต่เป็นการสร้างสถานการณ์ทำมานานกว่า 5 ปี พบผู้เอาประกัน 16 ราย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้แจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้เอาประกัน กระทั่งมีการเรียกสอบพบว่าผู้เอาประกันจำนวน 16 คน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นเกี่ยวกับกระบวนการดังกล่าว จึงได้กันไว้เป็นพยาน และบริษัทประกันภัยถอนแจ้งความให้กับ 16 คน ซึ่งผู้เอาประกันจำนวนดังกล่าวจึงกลายเป็นผู้เสียหาย
หลังจากมีการขยายผลเพิ่ม พบว่าในบรรดากลุ่มผู้เอาประกัน 16 คน มีบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วยการพาไปทำประภัยหลายเล่ม ในช่วงต่อปี และกลุ่มคนที่เป็นเครือข่ายจะทำหน้าที่โดยการชักจูงให้ชาวบ้านตาสีตาสา หรือคนที่ต้องการเงินด่วน เข้าร่วมในกระบวนการ จากนั้นเมื่อมีเหยื่อเกิดขึ้น กลุ่มที่เป็นเครือข่ายจะจัดหาประกันภัย พร้อมทั้งดำเนินการจ่ายเบี้ยประกันภัยต่อปี เฉลี่ยตั้งแต่ 3,500 - 7,000 บาทต่อปี และกลุ่มเครือข่ายที่ร่วมกระบวนการ จะเป็นคนเลือกประกันให้กับผู้เสียหาย รวมถึงเลือกเกี่ยวกับเบี้ยประกันที่จ่ายต่อปี และผลประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากเกิดอุบัติเหตุ จนมีการขยายผล สืบทราบว่ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวน 17 คน ซึ่งเป็นเครือข่ายและคนที่อยู่เบื้องหลังกระบวนการฉ้อโกงบริษัทประกันภัย โดยจำนวน 17 คนนั้น แบ่งเป็น 3 เครือข่าย ซึ่งตัวการใหญ่ ดังต่อไปนี้
1.น.ส.เตือนใจ เทศงามถ้วน อายุ 59 ปี จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเครือข่ายสายที่ 1 ชักชวนให้คนในครอบครัวมาเป็นลูกข่ายในการหาสมาชิกและผู้เสียหาย รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดสงขลา
2.น.ส.สุมลรัตน์ ลิขิตศรีไพบูลย์ อายุ 51 ปี ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเครือข่ายสายที่ 2 ชักชวนให้คนในครอบครัวและเครือญาติ ทำหน้าที่จัดหาสมาชิกและผู้เสียหายให้สาย รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดสงขลาและยะลา
3.นางเตชินี เพชรนิล อายุ 60 ปี ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเครือข่ายสายที่ 3 ชักชวนให้คนในครอบครัวและญาติทำหน้าที่จัดหาสมาชิกและผู้เสียหายในสาย รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดสงขลาและปัตตานี
หลังจากที่ตัวของผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อของเครือข่ายฉ้อโกงบริษัทประกันภัย จะมีการบังคับให้โอนย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกันกับตัวแทนและเครือข่ายในสายนั้น ๆ จากนั้นก็จะมีการมอบเงินให้ จำนวน 1,000 บาท และค่าเสียเวลาอีก 1,000 บาท ให้ไปทำการถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ย้ายสำเนาทะเบียนบ้านไปอยู่บ้านเดียวกันกับเครือข่ายฉ้อโกง และให้ไปเปิดบัญชี พร้อมกับบัตรเอทีเอ็ม และให้นำบัญชีและบัตรเอทีเอ็มไปให้กับตัวแทนเครือข่าย ในการจัดเก็บเอาไว้ไม่ให้ผู้เสียหายเก็บไว้กับตัว
เมื่อเครือข่ายหรือตัวการมีการจัดหากรมธรรม์ประกันภัยได้แล้ว จะนัดให้ผู้เสียหายทำหน้าที่เพียงแค่เซ็นในกรมธรรม์ประกันภัย และการทำแต่ละครั้งผู้เสียหาย 1 คน มีการทำประกันภัยให้มากกว่า 20 เล่มต่อคน ซึ่งผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินแม้แต่สตางค์เดียว เพราะเครือข่ายรวมถึงตัวการจะเป็นคนดำเนินการจ่ายให้เองทั้งหมด จากนั้นเมื่อกรมธรรม์ประกันภัยอนุมัติและใช้งานได้ จะมีการจัดหาวิธีให้ผู้เสียหายที่ทำประกันเอาไว้ มีการทำร้ายตัวเอง อาทิ เอาประตูหนีบมืออ้างประตูลมพัด , เอาน้ำร้อนสาดอ้างน้ำร้อนลวก , ใช้ของแข็งทุบตีอ้างว่ารถล้ม , ใช้กระดาษทรายขัดผิวหนังจนถลอก ปั่นจักรยานล้ม , นำสากครกทุบตีนิ้วเท้า อ้างรถล้มหรือของหนักทับ เป็นต้น โดยพฤติกรรมเหล่านี้ เมื่อผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจากการถูกกระทำ ก็จะส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ยิ่งอาการหนักสาหัสหรือเข้าพักรักษานาน ก็จะได้รับเงินจ่ายรายวันจากบริษัทประกันภัยมากขึ้น
ภายหลังที่บริษัทประกันภัยรับทราบว่าตัวผู้เสียหายในกรมธรรม์ได้รับอุบัติเหตุ ก็จะมีการเคลมประกันโอนเข้าสู่บัญชีที่เปิดเอาไว้ แต่บัญชีและเอทีเอ็มดังกล่าวจะอยู่ในการครอบครองของเครือข่ายหรือตัวการ ซึ่งตัวของผู้เสียหายจะได้รับเพียงค่าจ้าง โดยหากได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือนอนโรงพยาบาลนาน จะได้รับเงินวันละ 5000 บาท หากเข้ารับการรักษาช่วงเวลาสั้น หรือบาดเจ็บไม่มาก จะได้รับเงิน 2,000-3,000 บาทต่อวัน และเมื่อบริษัทประกันภัยได้มีการโอนเงินค่าเคลมประกันมาให้ทางตัวแทนหรือตัวการ ก็จะมีการแบ่งเงินอีกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่เท่ากัน โอนส่วนต่างให้กับผู้เสียหายที่เป็นเหยื่อ อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาที่เป็นตัวการและเครือข่ายทั้งหมด ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่น , อังยี่ซ่องโจร , ปลอมแปลงเอกสาร , และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ผู้อื่นในการกระทำผิด
ล่าสุดวันที่ 29 ธ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่หมู่บ้านเเห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 12 ตำบลท่าช้าง อำเภอบางกล่ำ ทีมข่าวได้สอบถามคนในหมู่บ้าน นายแดง (นามสมมติ) อายุ 49 ปี เปิดเผยว่า ตนรู้จักน.ส.เตือนใจ เทศงามถ้วน อายุ 59 ปี เพราะตนเคยไปถางหญ้าในบ้านหลังนี้ ลูกชายของน.ส.เตือนใจเคยมาอยู่ ก่อนจะปล่อยให้คนอื่นมาเช่า โดยคนที่เช่า เป็นผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 1 คน รวม 3 คน อายุประมาณ 30 ปี ขับรถยนต์ สีขาว ซึ่งตนจำทะเบียนไม่ได้ ทราบว่า 3 คนนี้มาอยู่บ้านนี้ได้ประมาณ 1 เดือนเเล้ว เเละไม่น่าจะใช่ญาติของ น.ส.เตือนใจ
ตั้งเเต่ปล่อยเช่า น.ส.เตือนใจ ก็มาที่บ้านหลังนี้เป็นบางครั้ง มาดูแลความเรียบร้อยของบ้าน แต่ช่วง 10 กว่าวันมานี้ ตนไม่เห็นน.ส.เตือนใจมาที่บ้านอีกเลย ส่วนบ้านที่ติดกันอีก 2 หลัง ตนก็ไม่เเน่ใจว่าจะใช่บ้านของน้องสาว น.ส.เตือนใจหรือไม่ ปกติน.ส.เตือนใจ ก็เป็นคนอัธยาศัยดี ไม่เคยมีปัญหาอะไร เเละไม่เคยมาชักชวนให้ตนเข้าร่วมขบวนการหรือทำประกันใด ๆ นอกจากนี้ เมื่อประมาณ 2-3 วันก่อน ตนได้ยินมาว่ามีตำรวจมาเเถวบ้านหลังดังกล่าว เเต่เป็นในช่วงที่ตนไม่อยู่จึงไม่เห็น เเต่เมื่อเช้า เวลาประมาณ 10.00 น. มีรถตำรวจ เข้ามาในหมู่บ้าน เเต่ก็ไม่ทราบว่าไปที่บ้านหลังใด
นายนีออน (นามสมมติ) อายุ 27 ปี ผู้เสียหาย เปิดบาดแผลซึ่งเป็นรอยแผลเป็นที่เคยถูกน้ำร้อนลวกให้ทีมข่าวดู เล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ไปรู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งในพื้นที่จังหวัดสงขลา ตอนนั้นยอมรับว่าเป็นช่วงอายุเพียง 22 ปี และกำลังร้อนเงินต้องการนำเงินไปใช้จ่าย เพื่อนคนดังกล่าวอ้างว่ารู้จักกับเครือข่ายหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะหาเงินให้ใช้ได้ตามที่ต้องการ จึงตัดสินใจร่วมเครือข่าย โดยจะมีตัวแทนที่เป็นคนในเครือเป็นคนประสานงาน
เมื่อผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ตัวแทนจะจัดหากรมธรรม์ที่ดีที่สุด หน้าที่ของตนคือเพียงแค่รอทำร้ายตัวเอง ตามวิธีการต่าง ๆ เพื่ออ้างว่าเป็นอุบัติเหตุและนำไปเคลมกับบริษัทประกันภัยเท่านั้น แต่ในการได้รับเงินค่าตอบแทนแต่ละครั้ง จะขึ้นอยู่กับการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ยิ่งนานยิ่งได้รับเงินสูง โดยมีเงื่อนไขการเข้ารับการรักษา ที่รู้กันระหว่างคนเจ็บกับตัวการ คือ รับการรักษานานและได้รับบาดเจ็บสาหัส จะได้รับเงินต่อวันวันละ 5,000 บาท หากรับการรักษาไม่นานได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ได้รับเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 บาทต่อวัน และหลังจากนั้นก็จะได้รับค่าส่วนต่างจากกรมธรรม์เพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้นการเจ็บตัวแต่ละครั้งก็จะได้รับเงินจากตัวการ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจะยอมเจ็บมากหรือเจ็บน้อย
หลังจากนั้นอีกประมาณ 6 เดือน แผลน้ำร้อนลวกดีขึ้น ตนก็ได้รับการติดต่อจากตัวแทนและตัวการอีกรอบให้ไปพบที่บ้านหลังเดิม โดยพยายามสร้างสถานการณ์ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุรถล้ม ตอนนั้นได้ถูกครกฟาดเข้าที่ศีรษะแต่ก็ยังไม่สมจริง ยังมีการเอากระดาษทรายให้ตนขัดที่ผิวหนัง จนกระทั่งเป็นแผลลักษณะคล้ายอุบัติเหตุรถล้ม ก่อนที่จะนำตัวส่งโรงพยาบาล และเข้ารับการรักษา โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นตนก็รักษาประมาณ 3-4 วัน ได้รับค่าตอบแทนวันละ 5,000 บาท และเบ็ดเสร็จได้รับเงินคืนจากตัวการประมาณหลัก 10,000 บาท แต่จำไม่ได้ว่าเท่าไร เพราะเวลารผ่านไปนานแล้ว
"ผมยอมรับว่าการกระทำที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นความคิดตอนวัยรุ่นที่หวังจะได้เงิน และผมก็เชื่อว่าเครือข่ายดังกล่าว มีผู้เสียหายหลายราย ซึ่งวิธีการก็จะทำคล้าย ๆ กัน โดยมีวิธีการให้เจ็บตัว ทุกอย่างเหมือนถูกกำหนดและมีรูปแบบไว้ชัดเจน แต่หลังจากที่ผมเริ่มที่จะรู้ว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง จึงตัดสินใจที่จะถอยออกห่าง และไม่ยอมต่อประกันภัย" นายนีออน กล่าว
