กรณี ตำรวจสภ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ได้รับแจ้งอุบัติเหตุเฉี่ยวชนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต บริเวณปากซอยสุขสวัสดิ์ 43 ถนนสุขสวัสดิ์ มุ่งหน้าพระสมุทรเจดีย์ ต.บางพึ่ง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ จึงรุดไปพร้อมทีมกู้ชีพตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่าจุดเกิดเหตุเป็นบริเวณปากซอยสุขสวัสดิ์ 43 ใกล้กับยูเทิร์นพบรถจักรยานยนต์ ทะเบียน กจค 955 กรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 ราย ทราบชื่อนางชลิตตา จั่นทอง อายุ 53 ปี เสียชีวิตในสภาพคว่ำหน้า ศีรษะแหลกเพราะโดนรถบรรทุกสิบล้อทับ
ถัดออกมาพบ นายไพโรจน์ จั่นทอง อายุ 63 ปี คนขับจักรยานยนต์คนดังกล่าว ซึ่งเป็นสามีของนางชลิตตา ผู้เสียชีวิต บาดเจ็บบริเวณขา และร่างกายเล็กน้อย ห่างออกกันไม่ไกลพบรถบรรทุกสิบล้อสีน้ำเงิน ทะเบียน 70-3016 ลพบุรี ซึ่งเป็นรถวัตถุไวไฟบรรทุกน้ำมัน ทราบชื่อคนขับ นายสมพร ศรีเมือง อายุ 63 ปี ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะและลำตัว เพราะญาติ ๆ ของผู้เสียชีวิตโกรธแค้น ทำให้ลูกชายผู้เสียชีวิตบันดาลโทสะรุมทำร้าย
ล่าสุดวันที่ 17 ธ.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ บริเวณใกล้กับปากซอยสุขสวัสดิ์ 43 พบว่าจุดดังกล่าวเป็นทางยูเทิร์นรถ นายสมพร ศรีเมือง อายุ 63 ปี คนขับรถสิบล้อวัตถุไวไฟ กล่าวว่า ญาติของผู้เสียชีวิตคิดว่าตนเป็นคนก่อเหตุ แต่ในช่วงที่เกิดเหตุนั้นตนขับรถบรรทุกน้ำมันลงมาจากทางด่วนพระราม 2 เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปยังซอยสุขสวัสดิ์ 45 เพื่อเอานำมันไปส่ง จังหวะนั้นตนต้องยูเทิร์นเพื่อเข้าซอยสุขสวัสดิ์ 45 พอพ้นโค้งยูเทิร์นได้สักพัก เข้ามาเลนซ้าย จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคล้ายรถมอเตอร์ไซค์ล้ม ตนจึงหันไปดูพบว่ามีรถมอเตอร์ไชค์ล้มอยู่ด้านหลังจริง ซึ่งพอตนลงไปดูก็พบว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บตามข่าวจริง
ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าไม่ได้เป็นฝ่ายเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์คันที่เสียชีวิตแน่นอน แต่เป็นรถเทรลเลอร์อีกคันหนึ่งที่วิ่งขนานกับตน เขาอาจจะเฉี่ยวทำให้รถจักรยานยนต์เซมาโดนล้อรถของตน จนทำให้ล้อทับที่หัวของผู้เสียชีวิต ตนไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าว เพราะจังหวะที่กลับรถเสร็จ ตนมองแค่ทางด้านซ้าย ไม่ได้มองด้านขวา ซึ่งเป็นจุดที่คาดว่าจักรยานยนต์คันดังกล่าวขี่เข้ามาช่วงเลนกลางขนานระห่างรถตนและรถเทรลเลอร์พอดี ตนยืนยันว่าไม่ได้มึนเมา หรือขาดสติในการขับรถแน่นอน
สำหรับเหตุการณ์ที่โดนทำร้ายร่างกาย ในส่วนนี้ตนไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมอีกฝ่ายปรี่เข้ามาทำร้ายตน จนได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ และเบ้าตา ตนยืนยันว่าตนไม่ได้พูดกวนหรือมีปากเสียงกับอีกฝ่ายก่อน แต่จู่ ๆ เขาก็มารุมกระทืบ ประมาณ 3 คน โดยที่ไม่ได้มีอาวุธแต่อย่างใด เน้นมวยไทยหลัก
"เรื่องคดีความเกี่ยวกับอุบัติเหตุ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ยืนยันว่าผมไม่ได้ประมาท ส่วนคดีโดนทำร้ายร่างกายนั้น ตอนนี้ก็ได้แจ้งความในส่วนของทำร้ายร่างกายไว้ เหลือแค่ไปตรวจร่างกายเพื่อนำไปประกอบกับใบแจ้งความ ถามว่าส่วนตัวจะไปร่วมงานศพไหมในวันนี้ คงไม่กล้าไป เพราะกลัวว่าจะโดนทำร้ายร่างกาย ตอนนี้รู้สึกหวาดกลัวว่าจะโดนรุมทำร้ายอีกครั้ง การแจ้งความครั้งนี้ไม่ได้ถึงขั้นจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แค่อยากป้องกันตัวเองจะโดนซ้ำ" นายสมพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.สามารถ สัตยา รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการหาหลักฐานในจุดเกิดเหตุเพิ่มเพิ่ม และยังไม่ได้มีการตั้งข้อหากับคนขับรถสิบล้อแต่อย่างใด เพราะต้องหาหลักฐานมาเชื่อมโยงว่าคดีเป็นการประมาทร่วมหรือไม่ และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนจะเกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ขณะที่คดีทำร้ายร่างกาย เบื้องต้นคนขับรถบรรทุกสิบล้อ ได้เเจ้งความไว้แล้ว เท่ากับว่าคดีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคืออุบัติเหตุมีผู้เสียชีวิต และคดีทำร้ายร่างกาย
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปยังวัดสารอด แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ซึ่งครอบครัวได้นำร่างของนางชลิตตา จั่นทอง มาตั้งบำเพ็ญกุศลศพตามหลักศาสนา โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ลูกชายคนเล็กก็นั่งร้องไห้กอดมือแม่ตลอดระยะเวลาที่มีการทำพิธี
นายกฤษณะ จั่นทอง อายุ 27 ปี เปิดเผยว่า ตนยอมรับสิ่งที่ทำไปนั้นผิดและขาดสติ ตนน้อมรับหากอีกฝ่ายจะดำเนินคดีกับตนในข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่อยากให้ฟังในมุมของคนที่ต้องสูญเสียแม่ พอเจอเหตุการณ์แบบนั้นด้วยความที่ตนอารมณ์ร้อนจึงโมโห ตนยอมรับผิดชอบในส่วนนี้ให้ดำเนินการตามกฎหมาย แต่ในส่วนความรู้สึกก็อยากจะเจอคู่กรณี พร้อมกราบขอโทษ จริง ๆ แล้วตนไม่มีเจตนาจะตั้งใจทำร้าย ตนไม่ได้มีอาวุธ ให้มองในมุมของคนสูญเสียแม่
"มองกลับกันถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับครอบครัวคุณ แล้วคู่กรณีกลับไม่มาพูดจาหรือเข้ามาเคลียร์ จะรู้สึกอย่างไร ผมไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับใคร ถามว่าทำใจได้ไหม ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้เพราะแม่คือเสาหลักของครอบครัว หาเงินมาจุนเจือช่วยดูแลลูกและพ่อ หลังจากนี้ก็คงขาดเสาหลัก อะไรที่ทำไม่ดีหรือล่วงเกินก็อยากจะให้แม่อโหสิกรรมให้ลูกด้วย" นายกฤษณะ กล่าวยอมรับผิด
