โต้พัลวัน! ยาย ด.ญ. ม.2 ช็อก หลานถูกขืนใจซ้ำรอยแม่ - พ่อแม่ ด.ช. ปัดลูกย่ำยี ห่วงคิดสั้น (คลิป)

5 ธ.ค. 61
จากกรณี ยายวัย 53 ปี พาหลานสาว อายุ 13 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนเเห่งหนึ่งย่านถนนราชพฤกษ์ เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.ชัยพฤกษ์ จ.นนทบุรี หลังพบว่า หลานสาวถูกนักเรียนชายชั้น ม.1 โรงเรียนเดียวกันข่มขืนในห้องเรียน เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา
ร.ต.อ.ณัฐพล ดวงสุริยา รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ชัยพฤกษ์
วันที่ 4 ธ.ค. 61 ที่ สภ.ชัยพฤกษ์ ร.ต.อ.ณัฐพล ดวงสุริยา รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.ชัยพฤกษ์ เปิดเผยว่า ยายของผู้เสียหาย เข้ามาแจ้งความดำเนินคดีเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. โดยระบุว่า หลานสาวถูกเพื่อนชายที่อ้างว่ากำลังคบหากัน ข่มขืนกระทำชำเราภายในโรงเรียน ในช่วงเวลาเลิกเรียนประมาณ 15.30 น. - 16.30 น. โดยเหตุเกิดตั้งแต่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยฝ่ายชายมีการใช้กำลังบังคับข่มขืนกระทำชำเรา โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอม ซึ่งช่วงที่เกิดเหตุ ไม่มีนักเรียนหรือคุณครูอยู่ในชั้นเรียน เนื่องจากเป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว และในช่วงวันเกิดเหตุ หลานไม่กล้าบอกความจริงกับใคร แต่เมื่อเห็นว่าหลานมีอาการซึมเศร้า จึงเค้นสอบถาม และทราบว่าหลานถูกเพื่อนชายล่วงละเมิดทางเพศ เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจพาน้องผู้เสียหายไปชี้จุดที่เกิดเหตุ พบว่าเป็นห้องเรียนธรรมดา และไม่มีกล้องวงจรปิดภายในห้องเรียน ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้พูดคุยกับฝ่ายชาย เพียงแต่แจ้งครอบครัวฝ่ายชายไปแล้วว่า เจ้าหน้าที่จะออกหมายเรียกให้มาสอบปากคำกับสหวิชาชีพ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการรอผลการตรวจร่างกายจากแพทย์ เพื่อมาประกอบสำนวนคดี คาดว่าจะรู้ผลอีก 1 เดือน
ยายติ๋ว (นามสมมติ) ยายของผู้เสียหายวัย 13 ปี
ยายติ๋ว (นามสมมติ) ยายของผู้เสียหายวัย 13 ปี เปิดเผยว่า ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการรอผลตรวจร่างกายจากแพทย์มาประกอบสำนวนคดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเรียกให้ไปสอบปากคำอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้น้องเอ (นามสมมติ) ก็ยังไม่ได้ไปโรงเรียน เนื่องจากตนเกรงว่าจะถูกเพื่อนล้อ แล้วมีปัญหาภายหลัง และตนไม่แน่ใจว่าทางเพื่อน ๆ ทราบข่าวของน้องหรือยัง ขณะเดียวกัน หลานสาวตนมีอาการค่อนข้างซึมเศร้า ไม่ค่อยพูดกับตนถึงเรื่องที่ถูกข่มขืน ซึ่งในเทอมหน้า ตนก็จะให้หลานสาวย้ายไปเรียนที่อื่น
ภาพจำลองเหตุการณ์ ขณะเกิดเหตุ
ทั้งนี้ ตนไม่คิดโทษโรงเรียนแต่อย่างใด ซึ่งจุดเกิดเหตุ คือบริเวณห้องเรียนของโรงเรียนไม่ใช่ที่ลับตาคน แต่เกิดเหตุตอนไม่มีเด็กนักเรียน โดยฝ่ายชายหลอกหลานสาวตนให้ไปเอาของในห้องเรียนเป็นเพื่อน จากนั้นจึงผลักหลานสาวตนไปที่พื้น เมื่อหลานสาวตนดิ้นหลุด ก็ใช้กำลังผลักหลานสาวตนไปที่โต๊ะเรียนอีก แล้วข่มขืนกระทำชำเราหลานสาวของตนที่โต๊ะเรียน โดยใช้มือปิดหน้าของหลานสาว ซึ่งตนกังวลว่าอาจจะมีการถ่ายคลิปไว้ด้วยหรือไม่ จากนั้น หลังเกิดเหตุเพียง 1 วัน ฝ่ายชายเดินมาพร้อมกับหลานสาวตน ขณะที่ตนไปรับหลังเลิกเรียน โดยฝ่ายชายพูดกับตนว่า "จะขอหลานสาวตนเป็นแฟน อยากอยู่กันอย่างคู่รัก" เมื่อได้ฟังก็รู้สึกตกใจว่า อายุแค่นี้จะเป็นแฟนกันได้อย่างไร ตนจึงตอบกลับไปว่า “อย่ายุ่ง” อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเรื่อง ครอบครัวของฝ่ายชายจะมาขอให้ผูกข้อมือแต่งงานกัน ซึ่งตนไม่มีทางยินยอมเด็ดขาด เพราะตนต้องการให้หลานสาวเรียนต่อ ไม่ใช่การแต่งงานเลี้ยงลูก สิ่งที่ตนกลัวที่สุดคือ หลานตั้งครรภ์และติดเชื้อ เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายชายเคยคบหากับใครมาบ้าง ซึ่งตนยอมรับว่ากลัวคดีไม่คืบหน้า เพราะทราบมาว่า ครอบครัวฝ่ายชายพูดในทำนองว่า “เดี๋ยวคดีก็หลุด เพราะเป็นคดีเด็ก ๆ” ทำให้ตนรู้สึกกลัวว่าฝ่ายชายจะหลุดคดี อย่างไรก็ตาม ตนไม่คิดว่าเหตุการณ์ของลูกกับหลานสาวนั้น จะเกิดจากเวรกรรมของตน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องการกระทำของคน นอกจากนี้ ยายติ๋ว เล่าย้อนเหตุการณ์ของแม่น้องเอว่า เมื่อ 13 ปีก่อน ลูกสาวของตนซึ่งเป็นลูกเลี้ยง ตั้งท้องตอนอายุ 18 ปี กับแฟนหนุ่ม สมัยเรียนอยู่ในชั้น ปวช. ตนทราบว่า ลูกสาวถูกข่มขืนกระทำชำเรา ก็ตอนที่ลูกสาวตั้งท้องเริ่มโต และต้องไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล ด้าน เด็กหญิงเอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย วัย 13 ปี เปิดใจว่า ตนคบหากับเด็กชายบี (นามสมมติ) แฟนหนุ่มวัยเดียวกันได้ประมาณ 3 เดือน ซึ่งช่วงที่คบหากัน แฟนเป็นคนดีมาก คอยดูแลตามใจตนทุกอย่าง โดยระหว่างที่คบหากัน ฝ่ายชายพยายามขอมีเพศสัมพันธ์ด้วย แต่ตนไม่ยินยอม โดยฝ่ายชายใช้คำพูดในทำนองว่า “ขออึ๊บหน่อยได้ไหม” ซึ่งตนปฏิเสธไปทุกครั้ง และฝ่ายชายก็บอกว่าจะไม่ขอตนอีก ซึ่งหลังเกิดเรื่อง ตนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายนำโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแอบถ่ายหรือไม่ เพราะตนรู้สึกได้ว่าบีเอาโทรศัพท์มาวางไว้บนลำตัวของตนขณะกระทำชำเรา ซี่งทำให้ตนรู้สึกกลัวว่าเขาจะมีภาพหรือคลิปของตนหลุดออกไป โดยหลังเกิดเหตุ ตนได้ถามฝ่ายชายว่า “ทำแบบนี้ทำไม แล้วรักตนจริงไหม” แต่ฝ่ายชายก็ยังยืนยันว่ารักตนมาก
นางจำเนียร (นามสมมติ) แม่ของเด็กชายบี
ต่อมา นางจำเนียร (นามสมมติ) แม่ของเด็กชายบี เปิดใจว่า หลังทราบว่าฝ่ายหญิงไปแจ้งความดำเนินคดีกับลูกชายตน ตนก็ได้สอบถามกับลูกชายแล้วเขาก็ยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายหญิงจริง แต่ลูกชายปฏิเสธว่าไม่ได้มีการข่มขืนกระทำชำเรา และลูกชายก็ไม่ได้ใช้อาวุธบังคับจี้ให้ฝ่ายหญิงเดินตามเข้าห้อง ส่วนข้อมูลที่ระบุว่าลูกชายมีการผลักฝ่ายหญิงลงบนพื้นและพยายามใช้กำลังในการข่มขืน ตนคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะลูกชายไม่ได้มีนิสัยอย่างนั้น และเขาไม่เคยใช้กำลังกับใคร ตอนนี้ยอมรับว่าลูกชายเครียดมาก ถึงขั้นคิดอยากฆ่าตัวตาย เขารู้สึกผิดกับครอบครัวที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน ตนจึงต้องให้เขาไปพักบ้านญาติสักพัก เผื่อว่าสภาพจิตใจของจะดีขึ้น ทั้งนี้ ตนทราบมาก่อนว่าลูกชายคบหากับฝ่ายหญิง เพราะเห็นคุยโทรศัพท์กันทุกวัน ซึ่งตนก็ไม่ได้ปิดกั้น เพราะไม่เห็นว่ามีการชักชวนกันไปเที่ยวกันสองต่อสอง รวมถึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในระหว่างคบหากัน แต่ตนก็ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นางจำเนียร กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์นี้ ลูกชายตนคงไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลร้ายหรือผลเสียกับตัว จึงอาจก่อเหตุไปแบบไม่รู้ตัว ซึ่งเขาก็อายุแค่ 13 ปี คงไม่คาดคิดว่าจะต้องเกิดเหตุในลักษณะนี้กับตัวเอง และเบื้องต้น ตนได้พยายามติดต่อกับครอบครัวฝ่ายหญิงแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเจรจาด้วย สำหรับตนก็ต้องการให้มีการไกล่เกลี่ยและปรึกษากัน เพราะไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต แล้วหากครอบครัวฝ่ายหญิงอยากให้มีการผูกข้อไม้ข้อมือ ครอบครัวตนก็ยินดีที่จะทำ เพราะลูกชายตนเป็นฝ่ายผิดเอง นางจำเนียร ยอมรับว่า ตนกลัวว่าลูกจะติดคดีติดตัว แม้ว่าลูกตนจะไม่ได้ข่มขืน แต่ตนก็กลัวว่าลูกอาจจะมีความผิด ซึ่งตนก็เป็นห่วงลูกจนถึงกับนอนไม่หลับ ที่ผ่านมาลูกชายเป็นเด็กเรียนเก่ง ได้เกรด 3 กว่าตลอด ทั้งยังเป็นเด็กกิจกรรมของโรงเรียน อยู่ในวงโยธวาทิต แล้วก็ช่วยงานของโรงเรียนตลอด เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามต่อว่า กลัวหรือไม่ หากลูกจะต้องเสียอนาคต นางจำเนียรหลั่งน้ำตา แล้วตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า "กลัว แต่ตนก็ยังไม่ได้คุยกับโรงเรียนอย่างเป็นทางการ"
นายดำรง (นามสมมติ) พ่อของเด็กชายบี
ด้าน นายดำรง (นามสมมติ) พ่อของเด็กชายบี กล่าวว่า หลังทราบว่าลูกชายก่อเหตุข่มขืนฝ่ายหญิง หัวใจก็หล่นลงไปที่ตาตุ่ม ตนเห็นทั้งภรรยาและลูกชายร้องไห้เพราะเรื่องดังกล่าว โดยตนก็ไม่คิดว่าลูกชายจะทำแบบนี้ ซึ่งลูกไม่เคยมาปรึกษาตน แต่มีอะไรก็จะไปบอกแม่มากกว่า ที่ผ่านมาลูกชายเป็นเด็กดี กลับบ้านตรงเวลาทุกวัน นอกจากวันไหนที่มีกิจกรรม ตนก็จะไปรับที่โรงเรียน ซึ่งวันเกิดเหตุตนไม่เห็นลูกชายมีอะไรที่ผิดสังเกต แล้วลูกก็ไม่เคยบอกว่าเขาไปมีเพศสัมพันธ์กับใครมาก่อน ขณะนี้ ตนกังวลว่าลูกชายจะคิดสั้น เพราะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปมาก ซึ่งลูกชายบอกตนว่า ไม่ได้ข่มขืน แต่ยอมรับว่ามีเพศสัมพันธ์กันจริง ตนจึงเชื่อว่าด้วยวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ และความใกล้ชิดชอบกัน ทำให้เด็กอาจเผลอไปมีอะไรกัน เนื่องจากก่อนมีเพศสัมพันธ์กัน ลูกชายยอมรับว่ามีการกอดจูบกับฝ่ายหญิงหลายครั้ง คาดว่าคงจะทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศ โดยไม่ได้มีการใช้กำลังบังคับข่มขู่ นายดำรง กล่าวต่อว่า ตนอยากฝากถึงครอบครัวฝ่ายหญิงว่า ขอโทษกับสิ่งที่ลูกชายตนทำไป รวมถึงตนต้องการให้มีการเจรจากันด้วยดี เพราะไม่อยากให้เด็กเสียอนาคตทั้งคู่ ตนก็รู้สึกเป็นห่วงความรู้สึกของฝ่ายน้องผู้หญิงเช่นเดียวกัน

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวที่ได้รับความสนใจ