กรณีพี่เมียถูกอดีตน้องเขยควบเก๋งพุ่งชน แต่ผู้ก่อเหตุเห็นว่ายังไม่เสียชีวิต จึงคว้าก้อนหินทุบซ้ำที่ศีษระ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 64 ผู้เสียหายได้แจ้งความไว้ที่ สภ.หันคา จ.ชัยนาท เเต่ผ่านมาแล้ว 9 เดือนคดีกลับไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด
ล่าสุดวันที่ 28 พ.ย.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางลงพื้นที่บ้านพักหลังหนึ่ง หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านเชี่ยน อำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ซึ่งเป็นบ้านติดริมถนนใหญ่ ไม่มีรั้วรอบขอบชิด มีร้านขายอาหารอยู่หน้าบ้าน ด้านในเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น มีกระต็อบเล็ก ๆ อยู่ 1 หลัง ซึ่งเป็นจุดที่ทีมข่าวได้พบกับนายคเชนทร์ ดีกล่อม อายุ 42 ปี ผู้เสียหาย
นายคเชนทร์ เปิดเผยว่า ในวันที่เกิดเหตุคือวันที่ 4 ก.พ.64 ช่วงเวลาประมาณ 18.00-19.00 น. นายเอนก ดอนแนไพร อายุ 39 ปี ชาวตำบลหนองบ่มกล้วย อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี อดีตน้องเขยที่เลิกรากับน้องสาวไปเเล้ว ได้เอาของมาให้ลูกของเขาที่บ้าน พร้อมทั้งมาหาน้องสาวของตนเพื่อขอคืนดี เเต่ไม่สำเร็จ จึงเกิดการโวยวายใส่น้องสาว ตนเห็นท่าไม่ดีจึงออกมาไล่นายเอนกให้กลับบ้าน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งเเรกที่นายเอนกมาทำพฤติกรรมแบบนี้ “มึงออกไปเลย ห้ามเข้ามาในบ้านกู” อาจทำให้นายเอนก โกรธเคืองตนไม่น้อย จึงชี้หน้าตนพร้อมกับพูดว่า “มึงรอกูแป๊บนะ เดี๋ยวกูมา”
ทั้งนี้ ตนก็คิดว่านายเอนก จะกลับไปที่บ้านที่อยู่ อุทัยธานี ห่างจากบ้านตนไปประมาณ 30 กิโลเมตร หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ตนก็จะขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกไปจะไปร้านขายของ ออกห่างจากบ้านมาได้ประมาณ 10 เมตร เห็นไฟรถมาจ่อด้านหลัง พอหันไปดูรถยนต์ขับจี้ท้าย ก่อนจะพุ่งเข้าชนเเละลากรถของตนไปไกลประมาณ 10 เมตร โชคดีที่รถตกข้างทางเเละมีหลุม รถจึงหยุด ตอนนั้นตนเจ็บเเขนข้างซ้ายมาก ๆ นายเอนก ก็เปิดประตูรถเดินตามลงจากรถมา เห็นตนไม่เป็นอะไรก็เข้ามาเตะต่อย ตนก็พยายามลุกหนี นายเอนกจึงคว้าหินก้อนใหญ่ข้างทาง หวังจะทุบศีรษะตนถึง 2 ครั้ง โชคดีที่ตนหลบได้
ตอนนั้นตนก็พยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ ก่อนจะมีคนจากร้านขายของเข้ามาช่วยห้ามไว้ทัน จากนั้นหลานของตนขับรถผ่านมาก็รีบมารับตนไปส่งโรงพยาบาลทันที ตนคิดว่าโชคดีที่นายเอนกไม่ได้มีอาวุธอย่างอื่น ไม่เช่นนั้นตนก็คงจะไม่รอด ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้นตนก็ไม่รับรู่อีก ส่วนสาเหตุ ตนคิดว่าน่าจะมาจากที่นายเอนกเข้าใจผิด คิดว่าตนกีดกันไม่ให้เขาเจอกับน้องสาวของตน ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น น้องสาวของตนไม่ยินยอมที่จะกลับไปอยู่กับนายเอนกเเล้ว ใครจะไปทนไหว ตอนเเรกก็มีการหย่าร้างกันไป สักพัก ก็กลับมาขอคืนดีอีก น้องตนก็ให้โอกาสกลับไปอยู่ด้วยอีก เเต่ทะเลาะกันหลายครั้งเกินไป จนครั้งสุดท้ายก่อนเกิดเหตุ
"สภาพบาดแผลตอนนั้น กระดูกแขนซ้ายร้าว นิ้วกลางข้างซ้ายหัก กระดูกข้อเเตกหมด ต้องเย็บแผล 3 เข็ม มีบาดเเผลที่หัว เเต่ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่าโดนอะไร หลังจากรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1 เดือน ก็กลับมาอยู่ที่บ้าน ตอนเเรกต้องคอยไปหาหมอเดือนละ 2 ครั้ง เเต่พอช่วงโควิดทำให้ไม่ได้ไปหาหมอมา 2-3 เดือนเเล้ว หมดค่ารักษาตัวไปกว่า 30,000 บาท คู่กรณีไม่เคยมาช่วยรับผิดชอบอะไร จนตอนนี้กระดูกเเขนซ้ายใกล้ข้อศอกปูดบวม เนื่องจากกระดูกมีการประสานตัวเอง ถ้าเป็นมากกว่านี้ก็จะต้องไปผ่าตัดออก ส่วนกระดูกนิ้วกลางใช้งานไม่ได้ เวลากำมือนิ้วกลางก็หุบไม่ลง" นายคเชนทร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของคดีความก็ยังไม่มีความคืบหน้า ไม่มีการออกหมายจับอดีตน้องเขยโหดรายนี้แต่อย่างใด ตนมองว่า นายเอนก ไม่เกรงกลัวกฎหมาย พยายามฆ่าขับรถชน เเต่ตนไม่ตาย ยังมากระทืบซ้ำเเล้วเอาปืนมาขู่ตนอีก ตอนนี้ครอบครัวสุขภาพจิตเสีย หวาดกลัว เเต่ทำอะไรไม่ได้ หากวันหนึ่งเขาเมาก่อเหตุซ้ำ พวกตนจะทำอย่างไร
ทีมข่าวได้พบกับ นางสาวรุ่งรัตน์ ดีกล่อม หรือ น้อยหน่า อายุ 39 ปี น้องสาวของนายคเชนทร์ เปิดเผยว่า ตนเเละอดีตเเฟนคบหากันมาตั้งเเต่สมัยชั้นมัธยมฯ ตอนนั้นนิสัยใจคอของเขาเป็นคนดีมาก ไม่เจ้าชู้ เเต่เป็นคนอารมณ์ร้อน จากนั้นตนมีลูกด้วยกัน 3 คน ลูกชาย คนโต อายุ 18 ปี ลูกสาวคนกลาง อายุ 14 ปี เเละลูกสาวคนเล็ก อายุ 5 ปี หลังจากคบกันมานานกว่า 20 ปี ก็เริ่มมีเรื่องให้ต้องมีปากเสียงทะเลาะกันเรื่อยมา ส่วนใหญ่จะทะเลาะกันด้วยเรื่องเงิน เรื่องหึงหวง ซึ่งนายเอนก เคยตบตีตนบางครั้ง จนตนทนไม่ไหวต้องกลับมาอยู่ที่บ้านหลายครั้ง นายเอนกก็ตามง้ออยู่แบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่ตนออกมา เป็นเพราะถูกนายเอนก ไล่ออกจากบ้านที่จังหวัดอุทัยธานี ตนจึงตัดสินใจหอบลูกสาว 2 คนมาอยู่ที่บ้านถาวร
กระทั่งในวันเกิดเหตุ นายเอนก ตามมาหาลูก ตนก็ไล่ให้กลับไป เพราะไม่อยากให้เข้ามาวุ่นวายที่บ้านของตน จนเกิดมีปากเสียงกัน รวมถึงทะเลาะกับพี่ชายของตนด้วย ตอนนั้นตนตกใจมาก ๆ ไม่คิดว่าอดีตสามีจะทำแบบนี้ ส่วนสาเหตุตนคิดว่าเขาน่าจะโมโหพี่ชายของตน ส่วนเรื่องที่จะรับผิดชอบอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของพี่ชาย ตนไม่ขอยุ่ง ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นายเอนก ก็ตามมาหาตนที่บ้านเพื่อตามง้อเเต่ไม่สำเร็จ ตนไม่ยอมกลับ เขาก็หาเรื่องพี่ชายของตน โดยกล่าวหาว่าพี่ชายของตนกีดกันความรัก ครั้งสุดท้ายที่นายเอนก มาหาตนก็ประมาณ 3-4 เดือนที่ผ่านมา
"หากสมมติว่าเรื่องคดีความเคลียร์จบลงตัว ทุกอย่างเเล้ว นายเอนกกลับมาขอคืนดีอีก ก็คงจะไม่กลับไปเเล้ว ตอนนี้ขออยู่กับลูกแบบนี้สบายใจดี ช่วงที่ผ่านมา ลูก ๆ ก็ยังเเวะเวียนไปมาหาสู่ที่บ้านพ่อเเม่ของนายเอนก ลูกชายคนโตอยู่ที่นั่น ส่วนลูกสาวทั้ง 2 คนตอนนี้ฉันดูแลอยู่" นางสาวรุ่งรัตน์ กล่าวยืนยัน
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของ นายเอนก ดอนแนไพร อายุ 39 ปี ในเขตพื้นที่ตำบลหนองบ่มกล้วย อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ทีมข่าวได้พบกับ นางนัน ดอนแนไพร อายุ 60 ปี เเม่ของนายเอนก
นางนัน กล่าวว่า ตนมีลูก 3 คน ได้แก่ ลูกสาวคนโต นายเอนก เเละลูกสาวคนเล็ก ทุกคนได้ดิบได้ดี มีเงินทอง ห่วงก็เเต่นายเอนก ที่ไม่ค่อยจะมีเงิน ทำงานได้เท่าไรก็ใช้หมด ปกตินิสัยใจคอของลูกชาย ก็เป็นคนดี รักเดียวใจเดียว ส่วนลูกสะใภ้ก็เห็นคบหากันมาตั้งเเต่สมัยเรียนจนเเต่งงานกัน ตอนนั้นตนไปสู่ขอค่าสินสอด 80,000 บาท ทอง 4 บาท ลูกชายเป็นคนขยันทำมาหากิน ขับรถพ่วงบรรทุกไปประเทศกัมพูชา เงินเดือน 30,000-40,000 บาท เเต่เงินทองไม่ค่อยพอใช้ จนมาเจอโควิด-19 อีก วิ่งรถไม่ได้ เงินก็ยิ่งไม่พอใช้ ลูกสะใภ้ก็ไม่ได้ทำงานอะไร ลูกชายของเป็นคนทำงานหาเงินคนเดียว ก็เกิดการทะเลาะกัน ลูกสะใภ้ก็มักจะหนีกลับไปอยู่บ้านพี่ชายบ่อยครั้ง ซึ่งตอนที่สะใภ้มาอยู่ที่บ้าน ตนก็ไม่เคยเห็นลูกชายจะตบตีทำร้ายร่างกายภรรยา ตนมีหลาน 3 คน ตอนนี้หลานชายคนโตขับรถสิบล้อเเทนพ่อ เเละกำลังจะบวชเร็ว ๆ นี้ ส่วนหลานสาวอีก 2 คน ยังคงเเวะเวียนมาหาตนบ้าง
จากการไกล่เกลี่ยกันว่าจะเอาอย่างไร เพราะสุดท้ายก็คือญาติกัน พี่ชายของลูกสะใภ้จะเรียกเงิน จำนวน 200,000 บาท เเต่ครอบครัวของตนไม่มีเงินมากพอ ถ้าจะเอาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ตนก็พอจะหามาให้ได้ เเต่จำนวนที่ร้องขอตนไม่มีจริง ๆ ตอนนี้เรื่องก็ยังไม่จบ เคลียร์ไม่ลงตัว เพราะฝั่งนั้นจะเอาเรื่องให้ลูกชายติดคุกตลอดชีวิต นายเอนกจึงพยายามจะหาปืนเอาไปยิงนายคเชนทร์
เมื่อตนทราบจึงเป็นคนเเจ้งให้ตำรวจมาจับกุมตัวลูกชาย จนนายเอนกเข้าเรือนจำจังหวัดอุทัยธานี ไปเมื่อวันที่ 13 กันยายน 64 ที่ผ่านมา ตัดสินจำคุก 6 เดือน ตอนนี้ตนยอมรับได้ทุกอย่าง ขอเเค่ให้ลูกยังมีชีวิตอยู่ เมื่อคืนตนก็เพิ่งจะฝันถึงลูกชายไป เพราะความคิดถึง เนื่องจากเกือบ 3 เดือนที่ลูกชายติดคุก ตนเเทบจะไม่ได้เยี่ยม เพราะสถานการณ์โควิด-19