กรณีนายนพดล พรหมภาสิต รองประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย และผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก กล่าวถึงพระมหาสมปอง ว่าทำไมถึงเปิดรับบริจาคเงินช่วยน้ำท่วม โดยใช้หมายเลขพร้อมเพย์เดียวกับบัญชีที่เเจ้งให้คนโอนทำบุญ พร้อมกับเผยแพร่สลิปการโอนบริจาคเข้าบัญชีของพระมหาสมปอง และระบุข้อความตั้งข้อสงสัยว่า "อย่างเราโอนบริจาคให้ พส.จะรู้ได้ไงว่าเงินไหนบริจาคช่วยน้ำท่วม เงินไหนจ่ายค่าดูตลกออนไลน์? ไม่มั่วเหรอ?#เจริญพวง #สภาพ"
เมื่อวันที่ 10 ต.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี วิดีคอลไปพูดคุยกับ นายนพดล เปิดเผยว่า สาเหตุที่ตนออกมาโพสต์ตั้งข้อสงสัยนั้น เพราะว่าพระมหาสมปอง เปิดรับบริจาคเงินในบัญชีส่วนตัว ซึ่งตนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวจะบริหารเงินที่ญาติโยมโอนเข้าบัญชีได้อย่างไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเงินของตัวเองที่โอนไปทำบุญนั้น พระมหาสมปอง จะนำไปใช้ช่วยเหลือชาวบ้าน หรือนำไปใช้ในกิจส่วนตัว แม้พระมหาสมปอง จะไลฟ์สดอธิบายว่าตั้งใจจะทำบุญ ทำความดีเพื่อช่วยเหลือสังคม แต่ที่ผ่านมาคนที่มีปัญหาเรื่องการรับบริจาคก็อ้างแบบเดียวกับพระมหาสมปองทั้งนั้น ในอดีตที่ผ่านมา เคสอื่น ๆ ก็มีปัญหา
“เพราะเงินมันไม่เข้าใครออกใคร เงินตกที่ไหนก็บรรลัยที่นั่น ซึ่งถ้าเป็นยอดเงินน้อยก็ไม่เป็นไร แต่ยิ่งเป็นเงินที่เยอะก็ยิ่งจะมีปัญหาตามมา อีกทั้งพระมหาสมปอง ก็ไม่มีการเปิดเผยยอดเงินในการโอน ซึ่งการเปิดรับบริจาคเงินช่วยเหลือสังคมที่ถูกกิจจะลักษณะนั้น ควรจะเปิดบัญชีกลางในนามองค์กรหรือในนามวัดจะดีกว่า” นายนพดล กล่าว
ทั้งนี้ ตนมองว่าพระมหาสมปอง สามารถช่วยเหลือสังคมได้ แต่อย่าลืมไปว่าตอนนี้เป็นพระสงฆ์ อยู่ในสมณเพศ ซึ่งอาจจะมีข้อจำกัดบางอย่างที่อาจจะทำให้สังคมติเตียน แต่ถ้าสึกออกมาเป็นคนทั่วไปแล้วมาเปิดรับบริจาค ก็อาจจะไม่ถูกติเตียน แต่เมื่อพระมหาสมปอง ยังคงมีจิตใจที่ตั้งมั่นเข้มแข็งและบอกว่าไม่สนคำตำหนิของสังคม ก็ควรที่จะไม่สนใจให้ตลอด ทำไมต้องมาร่ำไห้กลางไลฟ์สด ถ้าไม่แข็งแกร่งจริงก็อย่ามาอยู่ในเส้นทางบนโซเชียลมีเดีย แต่พระมหาสมปอง ต้องยอมรับคำวิจารณ์ และการที่พระมหาสมปอง จบธรรมเปรียญ 7 หรือธรรมเปรียญ 9 ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะเป็นคนดีที่สังคมาจะแตะต้องไม่ได้
อีกทั้งเวลาไลฟ์สด พระมหาสมปอง มักจะใช้คำพูดแทนตัวเองว่า “ผม” ไม่เรียกตัวเองว่า “อาตมา” ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะการที่พระมหาสมปอง เรียกแทนตัวเองว่าผมนั้น จะเหมือนคำที่คนทั่วไปพูดมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้มีเจตนาที่จะร้องเรียนพฤติกรรมของพระมหาสมปอง แต่เพียงตั้งข้อสงสัยเพื่อให้สังคมรับรู้ พิจารณา และตัดสินว่าจะต้องทำอย่างไร และให้คนที่ศรัทธาตระหนักรู้กับพฤติกรรมดังกล่าว แต่พฤติกรรมตอนนี้ก็ไม่ถึงขั้นต้องสึก ตนอยากให้พระมหาสมปอง เลือกเอาสักทางว่าจะทำในสิ่งที่ทำอยู่ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสมณเพศหรือจะสึกมาเป็นคนทั่วไป เพราะถ้าพระมหาสมปอง ยังอยู่ในสมณเพศ แล้วมาเป็นเซเลบ ดาราแบบนี้ ก็จะถูกสังคมติเตียนอยู่แล้ว และไม่ควรสำออยร้องไห้แบบนี้ สุดท้ายการเมืองจะไม่ยุ่งกับพระมหาสมปอง ถ้าพระมหาสมปองไม่เข้ามายุ่ง และมาแขวะการเมือง
นายจตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา กล่าวแสดงความคิดว่า ก่อนที่จะมีพระรูปไหนจับพระมหาสมปองสึกนั้น ตนอยากให้พระเหล่านั้นไปจับตัวเองสึกเสียก่อน เพราะพระที่อยากจับพระมหาสมปองสึกนั้น ส่วนมากเป็นพระที่ไม่ต้องเสียภาษี และเป็นพระที่กินเงินเดือนของรัฐ ซึ่ง ปปช. เคยขอให้พระที่เพ่งเล็งพระมหาสมปอง ให้ยื่นบัญชีทรัพย์สิน แต่พระเหล่านั้นก็ไม่เคยที่จะยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ปปช. เพื่อความโปร่งใส แต่กลับมาเพ่งเล็งพระมหาสมปอง ให้ยอมศิโรราบ ซึ่งตนมองว่าคนที่ออกคำสั่งน่าควรถูกสึกมากกว่าอีก เพราะการที่พระบางรูปมีตำแหน่งพัดยศ สมณศักดิ์ พระเหล่านี้ก็อาบัติตกนรกไปหลายขุมแล้ว
สำหรับเรื่องเส้นทางการเงินนั้น พระมหาสมปอง แค่กางบัญชีออกมาดูเรื่องนี้ก็จะจบ แต่จะมีใครไปตรวจสอบเส้นทางการเงินของพระที่ออกคำสั่งให้พระมหาสมปองสึกหรือไม่ พระที่มีเงินหลักแสนหลักล้าน ซื้อตำแหน่งกันมาก ทำไมไม่มีใครไปตรวจสอบ เงินที่เข้าบัญชีพระมหาสมปอง ยังตรวจสอบได้ แต่ใส่ซองพระผู้ใหญ่รูปอื่น ๆ เป็นหลักแสนหลักล้าน กลับตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งตนมองว่าสังคมดัดจริตผิดเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญกลับไม่จัดการ ตนไม่อยากให้มี 2 มาตรฐานที่เอาผิดกับพระผู้น้อย แต่ไม่เอาผิดกับพระผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม สำหรับพระที่จะจับพระมหาสมปองสึกนั้น กลับมีรถหรูนั่ง ทำไม่ถึงไม่จับพระพวกนั้นสึก แต่มาจับพระที่นั่งแท็กซี่สึก ตนอยากให้เอาผิดกับไอ้โม่งตัวใหญ่ ๆ ดีกว่า หรือไอ้โม่งที่อยากสึกคนอื่น
