กระทั่งวันที่ 24 ส.ค.64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้ติดต่อไปพูดคุยผ่านโทรศัพท์กับนายไพรัตน์ ฆ้องสาย อายุ 35 ปี คนขับรถ 6 ล้อคันดังกล่าว หลังจากเจ้าตัวโร่เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ เมืองเชียงใหม่ ตั้งแต่คืนวันที่ 22 ส.ค.64 และได้ส่งให้ญาติมาเคารพศพน้องเฟิร์สแทน เมื่อค่ำของวันที่ 23 ส.ค.64 ที่ จ.เชียงราย บ้านเกิดและสถานที่ตั้งศพของผู้เสียชีวิต
โดยนายไพรัตน์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้น ๆ ว่า ไม่รู้จริง ๆ ว่าตอนนั้นขับรถเฉี่ยวชนคน ส่วนที่มีการจอดรถแล้วลงมาดู แต่ไม่ได้เข้าไปช่วยเหลือนั้น เพราะเห็นคนกำลังมุงดูอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้เอะใจว่าเฉี่ยวชนคนตาย ก็เลยไม่ได้สนใจอะไร จึงรีบเดินกลับมาขับรถออกไป
ล่าสุดวันที่ 25 ส.ค.64 ญาติ ๆ ได้นำศพของนายเหรียญ แก้วบัว อายุ 70 ปี คุณตาน้องเฟิร์ส ที่เสียชีวิตด้วยอาการป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดระยะสุดท้าย เมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 22 ส.ค.64 หลังที่น้องเฟิร์ส เสียชีวิตได้ประมาณ 16 ชั่วโมง ก็ได้มีการจัดพิธีฌาปนกิจศพของทั้งคู่พร้อมกัน
ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ได้มีการดำเนินพิธีตามประเพณีวัฒนธรรมของคนล้านนา ด้วยการจัดแต่งปราสาทใส่ศพประดับประดาด้วยดอกไม้สดและแห้ง พวงหรีด ให้แลดูสวยงาม เพื่อเป็นการยกย่องผู้ตายให้ได้ขึ้นไปสู่สรวงสรรค์ชั้นฟ้า ซึ่งแน่นอนว่าทางครอบครัวได้จัดทำปราสาทขึ้นถึง 2 องค์ สำหรับศพของ “น้องเฟิร์ส” จะเป็นปราสาทแบบไม่มียอด ส่วนศพของ “ตาเหรียญ” จะเป็นปราสาทแบบมียอด
ในขณะเดียวกันทางครอบครัวได้จำลองบ้านให้กับ “น้องเฟิร์ส” และ “ตาเหรียญ” สำหรับไว้ใช้อยู่อาศัยในภพภูมิหน้า ซึ่งตามความเชื่อว่าของคนเหนือคนจะเรียกสิ่งนี้ว่าการขึ้นบ้านใหม่ โดยบ้านของน้องจะใช้บ้านเลขที่ 1044 ซึ่งเป็นเลขท้ายรหัสนักศึกษาของน้อง 610610144 ส่วนบ้านของ “ตาเหรียญ” จะใช้บ้านเลขที่ 1070 ซึ่งเป็นอายุของคุณตาในวัย 70 ปี
บ้านจำลองทั้ง 2 หลังจะมีการนำข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายทุกอย่างที่มีมาเก็บไว้ในบ้าน อาทิ ที่นอนหมอนมุ้ง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ชุดนักศึกษา ของใช้ส่วนตัว ของรักของหวง อุปกรณ์เครื่องครัว ยานพาหนะ สุขภัณฑ์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ทีวี พัดลม นาฬิกา กระติกน้ำร้อน เครื่องปรับอากาศ รูปถ่าย ข้าวสารอาหารแห้ง เป็นต้น
จากนั้นในเวลา 10.00 น. ได้ทำพิธีกรรมทางสงฆ์ คือ การทานปราสาท โดยจะนิมนต์พระสงฆ์จำนวน 6 รูป มาเป็นผู้ทำพิธี ก่อนที่ชาวบ้านและบรรดาญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต จะช่วยกันยกโลงศพขึ้นบรรจุบนปราสาท
หลังจากนั้นทีมข่าวได้มีโอกาสคุยกับ นางพิกุล หนักแน่น หรือ “แม่กุล” อายุ 44 ปี มารดาของน้องเฟิร์ส กล่าวว่า ตนยอมรับว่ายังทำใจไม่ได้จริง ๆ และระหว่างที่มีการสัมภาษณ์ก็ยังคงร้องไห้เป็นระยะ ๆ แน่นอนว่าประเด็นสำคัญที่ทางครอบครัวและหลายคนที่กำลังติดตามข่าว คือ การติดต่อเข้ามาแสดงความเสียใจ ความรับผิดชอบของนายไพรัตน์ ซึ่งตนยืนยันเลยว่ายังไม่มีโอกาสได้คุยกับคู่กรณีโดยตรง มีเพียงแค่ช่วงค่ำของการสวดพระอภิธรรมศพคืนแรก (21 ส.ค.64) ลุงของนายไพรัตน์ พร้อมญาติรวม 4 คน เดินทางเข้ามาที่บ้าน
ทั้ง 4 คนเดินเข้ามาโดยไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นตัวแทนของคู่กรณี ตนก็ไม่คุ้นหน้า คิดว่าเป็นคนของทางมหาวิทยาลัย ก็เลยไมได้เอะใจอะไร จากนั้นทั้ง 4 คนก็เข้าไปนั่งสวดพระอภิธรรม “ตาเหรียญ” ที่หลังบ้านของน้อง ร่วมกับญาติคนอื่น ๆ เมื่อสวดเสร็จตนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ยินว่าหนึ่งใน 4 คนมีการเอ่ยชื่อ “ไพรัตน์” ขึ้น ประมาณว่าตัวเองมาแทน “นายไพรัตน์” ตนก็เลยตกใจ เพราะตำรวจบอกว่า “นายไพรัตน์” เป็นคนที่ขับรถเฉี่ยวลูกสาวตนจนเสียชีวิต ตนก็จำชื่อนี้ขึ้นใจมา แต่ตอนนั้นตนก็ไม่ได้พูดอะไร
กระทั่งเวลาถัดมาย้ายมาสวดศพ “น้องเฟิร์ส” ที่บ้านของตน เมื่อทุกอย่างเสร็จพิธีทั้งหมด ทางด้านของญาติคู่กรณีก็เดินเข้ามาบอกกับตนและสามีว่า “ผมเป็นแค่ลุงห่าง ๆ ไม่ได้ผูกพันอะไรกับไพรัตน์มาก แต่หลานโทรมาบอกว่าชนคนนะ ให้ไปดูหน่อย ผมไปไม่ได้” ทั้ง 4 คนก็เลยต้องเข้ามาแทน “นายไพรัตน์”
เมื่อรู้เช่นนั้น ทั้งตนและสามีก็ยังไม่พร้อมที่จะพูดคุยอะไร ทำให้ลุงที่เป็นตัวแทนของคู่กรณีพูดต่อว่า “ที่ไพรัตน์มาไม่ได้ เพราะกลัวต้องกักตัว” ก่อนที่จะกล่าวคำขอโทษแทน “นายไพรัตน์” และบอกให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ตอนนั้นตนก็รวบรวมความรู้สึก แล้วถามคำถามที่ยังคาใจออกไปคำหนึ่งว่า “ทำไมไม่ลงมาช่วยน้อง” แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเป็นแค่ญาติ ไม่ได้เป็นคนชน” แล้วก็มอบซองให้กับตน 1 ซอง ก่อนบอกว่า “นายไพรัตน์” ฝากมาทำบุญ ซึ่งทางญาติของตนก็ได้รับไว้ คาดว่าจำนวนเงินคงจะประมาณ 20,000 บาท แล้วทั้ง 4 คนก็เดินทางกลับไป
แน่นอนว่าวันนี้ “แม่กุล” ก็ยังคงคาใจกับพฤติการณ์อันเย็นชาของทั้ง 2 คนที่อยู่บนรถ 6 ล้อ ประกอบกับได้ยินคลิปเสียงสัมภาษณ์คู่กรณียิ่งเกิดคำถามมากกมายในหัวว่าทำไมถึงไม่ฉุกคิดด้วยความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แล้วเข้าไปช่วยเหลือคนที่นอนอยู่ข้างถนนบ้าง ถ้าตอนนั้นลูกสาวยังหายใจอยู่ ก็น่าจะช่วยได้ เว้นแต่จะมองลูกของตนเป็นแค่หมูแค่หมา ไม่ใช่คน ถ้าคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนถนนเป็นลูกของคุณ คุณจะเดินลงมาดูแค่ล้อรถตัวเอง แล้วเมื่อเห็นว่ามีคนเยอะ จึงหันหลังกลับตามที่ปรากฏในคลิปวงจรปิดหรือไม่
"แม่อยากถามอีกว่า คิดบ้างหรือไม่ว่าเด็กผู้หญิงที่นอนตายอยู่บนถนนตรงหน้านั้นคือความหวังอันยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อและแม่ ไม่ใช่หมูหมาที่จะชนแล้วทิ้ง หรือแม้ว่าสิ่งที่ชนจะเป็นหมูหมา หากเป็นแม่ ๆ ก็คงไม่ทำแบบนี้ ดังนั้นกับทั้ง 2 คนนี้ แม่ไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริง ๆ มันเกินจริง ๆ เชื่อว่าทั้งคู่คงรู้อยู่เต็มอกว่าทำอะไรไว้ แม้วันนี้จะเป็นวันเผาน้อง แม่ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี เพราะอย่างที่บอกว่าน้องคือความหวังของพ่อแม่ อีกไม่นานก็จะถึงฝั่งฝันแล้ว สามารถทำงานหาเงิน เป็นเสาหลักจุนเจือครอบครัวได้ จึงอยากถามกับคู่กรณีว่า มีลูกไหม มีครอบครัวไหม ถ้าเป็นลูกคุณที่โดนกระทำแบบนี้ จะทำยังไง แต่ถ้าถามว่าพร้อมให้เข้ามาเจอไหม แม่เองก็ยืนยันว่ายังไม่พร้อมจริง ๆ รอให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎหมายน่าจะดีกว่า" นางพิกุล กล่าว
สุดท้ายแม่ก็ยอมรับว่าทุกวันนี้จะกินข้าว จะหลับ จะทำอะไรก็นึกถึงแต่หน้าลูกสาว แม้ว่าหลังจากวันแรกที่มีการสวดศพ น้องจะไม่มาปรากฏให้เห็น แต่ด้วยสภาพศพมันเกินทำใจได้จริง ๆ คิดถึงช่วงที่ได้คุย ได้ถามสารทุกข์สุขดิบกับลูกสาว ประกอบกับเสียดายความมุ่งมั่นของลูกที่คอยผลักดันตัวเองให้ได้ในสิ่งที่หวัง โดยเฉพาะเรื่องของการเรียนที่ลูกสาวตั้งใจไว้มาก ๆ หลังจากนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปทางไหน เพราะที่ผ่านมา ที่ทำมาหากินอย่างหนักก็เพื่อส่งเสียให้ลูกสาวได้ไปถึงฝัน ในเมื่อวันนี้ไม่มีเขาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะหากำลังใจมากจากไหน เหลือแค่ลูกชายคนเล็กที่คงจะกลายเป็นความหวังใหม่ของบ้าน ส่วนน้องเฟิร์ส ตนก็อยากบอกว่าให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ไปเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่ สักวันหนึ่งหากเกิดชาติหน้าฉันใด ตนก็ขอให้ได้เจอลูก ได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันอีก
ต่อมาในเวลา 12.00 น. ครอบครัวก็ได้จัดขบวนแห่ศพของทั้ง 2 คนที่อยู่ในปราสาทไปยังสุสานบ้านเวียงหวาย หมู่ 8 ต.เม็งราย อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย ห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตร โดยมีปราสาทของคุณตานำ และน้องตาม ซึ่งมีสัปเหร่อเป็นผู้ถือตุง 3 หางสะพายย่ามใส่ข้าวและคอยแบกโคมไฟ เดินนำหน้าขบวนแห่ศพ เนื่องจากตามความเชื่อของคนเหนือ เป็นการนำทางผู้ตายไปสู่สรวงสรรค์
นอกจากนี้ เมื่อวานนี้ (24 ส.ค.64) น้องชายผู้ตาย “น้องปลื้ม-ด.ช.ปลื้มรักษ์” วัย 11 ขวบ ก็ได้ถือโอกาสบวชสามเณรหน้าไฟพร้อมกับญาติ ๆ รุ่นหลานรวม 4 คนให้กับพี่สาวและคุณตา พร้อมกันนั้นวันนี้เหล่าสามเณรก็ได้ถือสายสิญจน์ลากรถนำขบวนปราสาท “น้องเฟิร์ส” และ “ตาเหรียญ” ไปยังสุสานด้วย
แน่นอนว่าด้านของ “แม่กุล” มารดาของ “น้องเฟิร์ส” ที่เดินเกาะปราสาทโลงศพของลูกสาวตลอดเวลาระหว่างแห่ขบวนก็ร้องไห้ครวญ น้ำตาไหล ใจสลาย แทบจะเป็นลม ทรงตัวไม่ไหวกับการสูญเสียลูกสาวไปครั้งนี้ ต้องให้เหล่าญาติ ๆ คอยประคอง 2 ข้างลำตัว โดยมีเพื่อนสนิทของน้องที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่จำความได้ “น้องปังปอนด์” หรือ “นายวัชรกร มีทุน” อายุ 21 ปี คอยประคองรูปถ่ายหน้าศพของน้อง ที่มีของรักทั้ง 2 อย่างแขวนอยู่คือประเป๋าสพายใบแรก หมวกผ้าใบโปรดที่น้องซื้อใช้ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ครอบครัวตั้งใจจะเผาไปพร้อมกับร่างน้อง
เช่นเดียวกับ “ยายบำเพ็ญ” ภรรยาของ “ตาเหรียญ” ที่คอยประคองปราสาทโลงศพสามีทั้งน้ำตาตลอดทาง ในขณะที่ด้านของ “พ่อเอส” และ “สามเณรปลื้ม” ก็พยายามกลั้นนำตา จูงสายสิญจน์ลากปราสาทของน้องไปยังสุสานพร้อม ๆ กับญาติพี่น้องและชาวบ้าน
ในเวลา 12.40 น. ศพเคลื่อนมาถึงสุสานบ้านเวียงหวาย ก่อนจะมีการจุดพลุเพื่อให้เทวดารับรู้ และนำร่างของทั้ง 2 คนเข้าสู่เตาเผาเพื่อทำการฌาปนกิจศพ ซึ่งบรรยากาศที่สุสานนั้นเต็มไปด้วยชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ ผู้หลักผู้ใหญ่ของชุมชนนับร้อยที่เดินทางมาร่วมส่งดวงวิญญาณของทั้ง 2 คน ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 เนื่องจากเหตุการณ์การสูญเสียในครั้งนี้ โดยเฉพาะกับ “น้องเฟิร์ส” ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจและเป็นที่สนใจของสังคมอย่างมาก แต่ก็ไร้วี่แววของคู่กรณีอย่าง “นายไพรัตน์” คนขับ 6 ล้อและหญิงในคลิปวงจรปิด หรือแม้แต่ญาติ ตัวแทนก็ไม่มีการเดินทางมาร่วมขอขมา ส่งดวงวิญญาณของ “น้องเฟิร์ส” เป็นครั้งสุดท้าย
สุดท้ายในเวลา 14.00 น. หลังมีการทอดผ้าบังสกุลเสร็จสิ้น วางดอกไม้จันทน์เสร็จสิ้น ก็ได้มีการนำศพของ “ตาเหรียญ” ขึ้นสู่เมรุเผาศพ ส่วนศพของ “น้องเฟิร์ส” ก็ได้นำขึ้นสู่เตาเผาเชิงตะกอน ด้านหลังเมรุ เพื่อทำการเผาทั้ง 2 คนไปพร้อม ๆ กัน
แน่นอนว่าในขณะที่มีการเปิดโลงศพเพื่อทำพิธีตามศาสนา ด้านของแม่ก็ถึงกับกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ไหว ช่วงขณะที่ต้องนำน้ำมะพร้าวมารดให้กับลูกสาว ได้แต่เอามืดอีกข้างปิดตา ทำใจดูศพลูกตัวเองไม่ได้ และส่งเสียงร้องไห้ด้วยใจอันสลายตลอดเวลา ก่อนที่จะเริ่มหายใจไม่ออก ทรุดตัวลงกับพื้น โดยมีเหล่าญาติ ๆ คอยประคองไปนั่งที่เก้าอี้ เพื่อให้ทำใจดี ๆ แล้วนั่งดูเจ้าหน้าที่นำศพของลูกสาวขึ้นเตาเผาเชิงตะกอน
ส่วนคุณพ่อเองก็พยายามกลั้นใจไม่ร้องไห้ ได้แต่ยืนดูโลงศพและรูปถ่ายหน้าศพของลูกไม่ห่างไปไหน กระทั่งมีเจ้าหน้าที่ทำการจุดไฟเผาเพื่อส่งลูกสาวไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งหลังจากที่คุณพ่อเริ่มทำใจได้บ้าง เจ้าตัวก็ได้เปิดใจอีกครั้งหลังว่า ในช่วง 2 วันก่อน อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยซึ่งเดินทางมาร่วมงานศพ ได้บอกกับครอบครัวว่า “ลูกสาวเก่งจังเลย รู้ไหมว่าเกรดเฉลี่ยสะสมได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ด้วยนะ” แต่อย่างไรก็ตาม ลูกสาวคงไม่รู้ เพราะยังต้องเรียนอีก 1 เทอมหรือ 8 เดือน และคงไม่มีวันได้รับรู้แล้วด้วย
ในวันนี้ตนในฐานะคนเป็นพ่อก็ส่งลูกสาวได้ดีที่สุดเท่าความสามารถที่มีแล้ว ส่วนที่เหลือก็คงเหลือไว้แค่ความทรงจำและของแทนใจ โดยครอบครัวตั้งใจไว้ว่าจะเก็บบ้านจำลอง และข้าวของทุกอย่างของน้องที่ถูกทำขึ้นตรงหน้าบ้านไว้อีกสักพักไว้ดูต่างหน้า หากวันข้างหน้าครอบครัวเริ่มชินแล้วทำใจได้ ก็จะนำของทุกอย่างไปบริจาค เพราะมองว่าทั้งข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าของลูกสาวเป็นของที่ดีทั้งนั้น ตนยอมรับว่าในส่วนของการทำพิธีฌาปนกิจศพน้อง ตนไม่ได้คาใจอะไรแล้ว จะมีก็เรื่องของคดีความกับคู่กรณี ที่ยังไร้วี่แววว่าจะติดต่อเข้ามาคุยกับตนโดยตรง แต่ขณะนี้แม้ว่าเขาจะติดต่อเข้ามา ตนก็ยังไม่พร้อมพูดคุย
เพราะอย่างหนึ่งที่ตนติดใจ คือ จากคำให้การกับตตำรวจและคลิปเสียงการให้สัมภาษณ์ที่ออ้างว่าไม่รู้เฉี่ยวชนคนจนตาย ตนก็หมดคำพูด คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย เพราะถึงอย่างไรก็ตามเขาต้องยอมรับความจริง ซึ่งหลังจากเคลียร์งานศพลูกและทำใจได้แล้ว ตนก็จะติดต่อไปยังร้อยเวรเพื่อร้องขอความยุติธรรมให้กับลูกสาว
"ตอนนี้มันเหลือแต่ความน้อยใจว่า ทำไมชนแล้วลงมาดูแค่นั้น ไม่เข้าไปช่วย ทั้ง ๆ ลูกสาวเป็นคนเหมือนกัน และเป็นนักศึกษาที่เรียนเก่ง ใกล้จะเรียนจบ มีแต่คนรักด้วย ไม่ใช่หมู ไม่ใช่หมาที่ไหน ดังนั้นจะให้พูดอะไรกับกูกรณี พ่อก็คงจะไม่พูดอีก เพราะเชื่อว่าคนแบบนี้พูดยาก อย่างที่บอกว่าปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎหมาย พ่อหมดความสามารถที่จะส่งน้องแล้ว ส่งน้องได้แค่นี้ (ร้องไห้) คนดี คนเก่ง นางฟ้าของพ่อ" นายเผชิญศักดิ์ กล่าวทั้งน้ำตา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เปิดใจหกล้อเลือดเย็นขยี้ร่าง "น้องเฟิร์ส" อ้างแวะดูไทยมุงไม่เห็นศพแหลก (คลิป)
- 6 ล้อทับหัวเละ น้องเฟิร์ส เด็กหัวดีสอบติด 3 คณะดัง พ่อแม่ไม่อโหสิช็อกตาตายตาม (คลิป)
- นาทีตาย! เก๋งชนคนตกทางด่วนยาบ้าโผล่ข้างศพ แม่คนเจ็บยันลูกออกบ้านเยี่ยมเพื่อน ปัดเป็นเอเจนต์ (คลิป)
- สยอง 2 ศพห้อยคาต้นมะม่วง วงจรปิดชัดย้อนศรกระบะอัดชน ผัวฉะกระบะประมาท (คลิป)
Advertisement