วันนี้ (15 สิงหาคม 2568) ที่สำนักงานอัยการสูงสุดดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พาภรรยาคนปัจจุบันของนักแสดงอาวุโส "เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร" ร้องขอความเป็นธรรม ต่ออัยการคุ้มครองสิทธิ สำนักงานอัยการสูงสุด หลังถูกขับไล่ออกจากบ้านที่อาศัยมานานกว่า 20 ปี และมีข้อสงสัยเรื่องสาเหตุการเสียชีวิตของนายไพโรจน์ สังวริบุตร อดีตพระเอก และผู้กำกับชื่อดัง ถึงแก่กรรมอายุ 72 ปี เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา
โดยดร.แทนคุณ เปิดเผยว่าวันนี้ได้พาคุณเอ๋ ภรรยาที่ได้แต่งงานและอยู่กินกับ นายไพโรจน์มา อย่างเปิดเผยมา 20 ปี โดยทั้งคู่อยู่กินฉันสามีภรรยามาตั้งแต่ปี 2548 ก่อนแต่งงานกันเมื่อปี 2552 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย แต่จนกระทั่งพี่เอ๋-ไพโรจน์ได้เสียชีวิตในวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา
จากนั้นตนเองได้มีโอกาศไปร่วมงานศพ จึงได้ทราบเรื่องจากคุณเอ๋ ภรรยา ของคุณเอ๋-ไพโรจน์ ว่ามีปัญหาความเข้าใจผิดกัน จากทางลูกสาวของคุณเอ๋ ไพโรจน์ ที่เกิดจากภรรยาคนแรก ลูกสาวคุณเอ๋ไพโรจน์ ที่ร้องไว้ต่อศาล เข้ามาเป็นผู้จัดการมรดก ต่อจากคุณเอ๋-ไพโรจน์
หลังจากนั้นทางลูกสาวได้เข้ามากระทำโดยไม่ให้คุณเอ๋ สามารถอยู่ในบ้านหลังเดิมได้ โดยการเปลี่ยนลูกบิดกุญแจ ทำให้คุณเอ๋ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในบ้านได้ตามปกติ ต้องออกจากบ้านโดยไม่ยินยอม และรวมถึงมีทรัพย์สินในบ้านหายไปบางส่วน ที่สำคัญคือ ฮาร์ดดิส หายไป 2 เครื่อง คอมพิวเตอร์ และแหวนที่เป็นมรดกของคุณเอ๋ วันนี้ตนเองจึงเดินทางมาหาท่านอธิบดีอัยการคุ้มครองสิทธิเพื่อยื่นหนังสือ โดยมี ร้อยตำรวจเอกหญิง ทิพย์พิรุณ สุวรรณกูล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ลงมารับหนังสือด้วยตนเอง รวมถึงคุณเอ๋ได้มีการเข้าแจ้งความ ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ ในเรื่องของการบุกลูกบ้าน และได้ถ่ายคลิปวีดีโอต่างๆเก็บไว้เป็นหลักฐาน
รวมถึงเรื่องที่ 2 ที่ทางคุณเอ๋ภรรยาของคุณไพโรจน์ ได้เกิดข้อสงสัยในช่วงสุดท้ายของการดำเนินชีวิต ในเรื่องของการเสียชีวิต ซึ่งมีข้อมูลอยู่พอสมควร แต่เราจะมอบให้กับทางอัยการเพื่อพิจารณาว่าเราควรไปดำเนินการอย่างไร ซึ่งติดใจการเสียชีวิตของคุณไพโรจน์ รวมถึงอยากจะพูดคุยกับทางลูกสาวของคุณไพโรจน์ อยากทราบสาเหตุการเสียชีวิตจริงๆ ว่าตรงกับข้อมูลที่ได้มามากน้อยแค่ไหน หากไม่ตรงไม่เป็นธรรมต่อผู้วายชนม์ เราจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปดำเนินการได้อย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นการกระทบกระทั่ง และเป็นการเคารพต่อผู้เสียชีวิตไป
ในส่วนของบ้านอยู่ในกระบวนการฟ้องร้องต่อศาล จึงไม่อยากให้มีใครเข้าไปทำให้เกิดความวุ่นวายในลักษณะที่ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยถูกรุกล้ำและรบกวน ยืนยันว่าเราเคารพในการดำเนินการของหลักกฎหมาย
ทางด้านเอ๋-พลอยรัชษ์ ชินรัตน์วาณิช อายุ 50ปี ภรรยาคุณเอ๋ไพโรจน์ (ไม่ได้จดทะเบียนสมรส) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 คุณไพโรจน์เดินทางออกจากบ้านไปหาเพื่อนที่ต่างจังหวัด จากนั้นวันที่ 3 ตนเองก็ได้รับข่าวว่าพี่เอ๋ ไพโรจน์เสียชีวิตแล้วทำให้ตนเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ตนเองไม่มีโอกาสไปรับศพ ไม่ได้มีโอกาสเห็นใบมรณบัตรของคุณไพโรจน์ รวมถึงในพิธีฌาปนกิจของคุณไพโรจน์ ตนเองเปรียบเสมือนไม่สิทธิที่จะยืนอยู่ในงาน
หลังจากคุณไพโรจน์เสียชีวิตได้ 15 วัน ลูกสาวคุณไพโรจน์ได้ทักไลน์มา บอกว่าบ้านที่ตนเองอยู่กับคุณเอ๋ไพโรจน์มาร่วม 20 ปี พ่อได้โอนไปให้ผู้อื่นแล้ว และอย่าบอกใครว่าพ่อขายบ้านแล้วเพราะว่าไม่อยากให้คนอื่นมองพ่อไม่ดี รวมบ้านหลังนั้นลูกๆทุกคนไม่มีใครมีสิทธิ์ได้ พอตนถามไปก็ไล่ให้ตนเองไปตรวจสอบ
จากนั้นลูกสาวของคุณไพโรจน์ ทักไลน์มาถามว่าจะออกจากบ้านเมื่อไหร่ จะเครียร์หนี้สินของพ่อ รวมถึงทางลูกสาว จะส่งข้อความมาเร่งให้ตนเองต้องย้ายออกจากบ้าน
ต่อมา 1 กรกฎาคม 2568 หลังจากที่ตนเองกลับมาที่บ้าน เห็นว่าที่บ้านกลับถูกเปลี่ยนลูกบิดกุญแจทำให้ตนไม่สามารถเข้าบ้านได้ จึงเดินทางไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงบอกว่าเราอาศัยอยู่บ้านหลังดังกล่าวสามารถกุญแจเข้าไปได้ ตนเป็นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเรียกช่างมาสะเดาะกุญแจเพื่อที่จะเข้าไปในบ้าน หลังจากเข้าไปในบ้านปรากฏว่าห้องพระของตนเองถูกรื้อและมีพระที่บูชาของตนเองหายไป มูลค่านับล้านบาท และยังมีทรัพย์สิน ข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ หายไปอีกหลายอย่างด้วย
ต่อมาวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 ขณะที่ตนเองอยู่ในบ้าน อยู่ๆ มาตำรวจมาที่หน้าบ้าน ก่อนเชิญตนเองออกจากบ้านที่เคยอยู่ อ้างว่าตนบุกรุก ตนจึงจำเป็นต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตนเองอยู่กับคุณเอ๋ไพโรจน์ตนเองได้ทำธุรกิจร่วมกันทั้งหมด 4 บริษัท เพิ่งสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบเรื่องของทรัพย์สินเนื่องจากตนเองถูกกีดกันจากลูกของอดีตภรรยาของผู้กำกับและนักแสดงอาวุโสคนดังที่ล่วงลับ
Advertisement