เมื่อเวลา 10.00 น. (24 มิ.ย. 2568) ที่ สถาบันวิชาการและตรวจพิสูจน์ยาเสพติด (สวพ.) สำนักงาน ป.ป.ส. (ทุ่งสองห้อง) นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการเตรียมการเผาทำลายยาเสพติด ว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ร่วมกับ 8 หน่วยงานภาคี ทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (พฐ.) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ตำรวจภูธรภาค 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง มณฑลทหารบกที่ 11 ซึ่งหน่วยงานภาคีทั้งหมดเป็นคณะทำงานในการตรวจรับและเคลื่อนย้ายยาเสพติดเพื่อเตรียมเผาทำลาย ครั้งที่ 9 ในวันที่ 26 มิ.ย.นี้
โดยครั้งนี้เป็นการเตรียมเผาทำลายยาเสพติดต่อเนื่องนับตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มาจนถึงรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งการเผาทำลายครั้งนี้จะตรงกับวันต่อต้านยาเสพติดสากล โดยจะมีการขนย้ายยาเสพติดของกลางที่จับกุมได้ทั้งหมด 28 ตัน รวมสิ่งห่อหุ้ม ประกอบด้วย ยาบ้า 11 ตัน ไอซ์ 12 ตัน ส่วนอีก 1 ตัน คือ ส่วนอื่นและสารเสพติดประเภทอื่น อาทิ เฮโรอีน คีตามีน เป็นต้น
นายอภิกิต เผยอีกว่า การเผาทำลายยาเสพติดครั้งที่ 9 ถือเป็นนโยบายของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าของกลางยาเสพติด ซึ่งถูกดำเนินการโดยหน่วยงานด้านการปราบปรามยาเสพติด ที่ได้ดำเนินการมาต่อเนื่องว่าจะไม่มีการรั่วไหลไปยังตลาดใดทั้งสิ้น ซึ่งในวันนี้จะได้มีการนำเอาตัวยาเสพติดออกมาตรวจโดยใช้วิธีการ Color Test เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นสารเสพติดจริง ก่อนลำเลียงออกจากห้องมั่นคงเตรียมเผาทำลายในวันที่ 26 มิ.ย. ที่ จ.สมุทรปราการ
โดยจะมีชุดปฏิบัติการพิเศษของสำนักงาน ป.ป.ส. และ บช.ปส. ทำหน้าที่อารักขาคุ้มครองของกลางในห้วงสองวันก่อนเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่เผาทำลาย ซึ่งในพิธีเผาทำลายที่จะเกิดขึ้นนี้ จะมีผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาล มาเป็นประธานในพิธีเผาทำลาย นอกจากนี้ ยังมีอินฟลูเอนเซอร์ อาทิ เก่ง ธชย, หมอแจ็ค, ดม จากเพจดม เป็นต้น มาร่วมเป็นสักขีพยานเพื่อยืนยันว่ายาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดได้นั้นไม่มีการรั่วไหล
นายอภิกิต เผยต่อว่า สำหรับการจับกุมยาเสพติดของกลางทั้ง 28 ตันดังกล่าว เป็นผลการดำเนินงานจับกุมในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณการจับกุมในครั้งนี้ ค่อนข้างใกล้เคียงกับปริมาณของกลางครั้งที่แล้ว เพราะมีจำนวน 23 ตัน และในห้วงสองปีที่ผ่านมา เราสามารถเผาของกลางยาเสพติดได้ทั้งสิ้น 218 ตัน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการให้หน่วยงานภาคี ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายย Seal stop safe ซึ่งเป็นความมุมานะในการจับกุม อีกทั้งส่วนใหญ่บริเวณชายแดนเจ้าหน้าที่ยังคงตรวจยึดยาเสพติดได้มากสุด คือ ยาบ้า หากย้อนไปดูผลการดำเนินงานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีการจับกุมยาบ้าได้ถึง 15 ล้านเม็ดในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
นายอภิกิต เผยด้วยว่า ที่ผ่านมา เราเพิ่งได้มีการประชุมทวิภาคีกับทางประเทศอินเดีย เนื่องจากสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีนและอินเดียเข้าไปสู่แหล่งผลิตโดยตรง ส่วนบางส่วนที่เป็นเคมีภัณฑ์ที่นำไปส่วนผสมเล็กๆ อาจจะมีหลุดรอดจากประเทศไทยไปบ้าง แต่หน่วยงานภาคีทั้งหลายโดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีการไปตรวจสอบกระบวนการในการขุดลำเลียงเคมีภัณฑ์ที่แหลมฉบัง วานนี้ (23 มิ.ย.) เพื่อไม่ให้สารเคมีจากประเทศไทยรอดออกไป ยืนยันว่าเราประสานกับประเทศอินเดียอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ขณะที่ในส่วนของรัฐบาลประเทศจีน ทราบว่าเร็วๆ นี้ เดือน ก.ค. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. นำคณะไปเจรจาในเรื่องนี้
นายอภิกิต เผยว่า ต้องย้ำว่าเรื่องสารเคมีบางส่วน ถูกใช้ในภาคอุตสาหกรรมจริง แต่ก็ก็มีบางส่วนลักลอบมาใช้เป็นยาเสพติดได้ เราจึงพยายามสกัดกั้นไม่ให้สารเคมีพวกนี้หลุดรอดออกไป จะเห็นได้จากการจับกลุ่มในพื้นที่จังหวัดตากหลายคดี ที่เราพยายามสกัดกั้น และยืนยันว่าสารเคมีพันธ์ สารตั้งต้นไม่ได้มาจากประเทศไทยอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับยาเสพติดของกลางในครั้งนี้ ประกอบด้วย ของกลางจาก 85 คดี น้ำหนักรวมเฉพาะยาเสพติดของกลาง 24,388.49 กิโลกรัม หรือประมาณ 24.39 ตัน ประกอบด้วย ยาบ้ากว่า 123 ล้านเม็ด น้ำหนัก 11,272 กิโลกรัม ไอซ์ น้ำหนัก 12,281 กิโลกรัม คตามีน น้ำหนัก 699 กิโลกรัม เฮโรอีน น้ำหนัก 118 กิโลกรัม และยาเสพติดชนิดอื่น น้ำหนัก 18 กิโลกรัม
เมื่อถามว่าวานนี้ (23 มิ.ย. 2568) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการยืนยันว่า รัฐบาลมีนโยบายให้กัญชาเพื่อการแพทย์เท่านั้น บทบาทของสำนักงาน ป.ป.ส. จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น นายอภิกิต ระบุว่า เรายืนยันมาตลอดว่า ป.ป.ส. เล็งเห็นว่ากัญชาจะต้องถูกใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นมิติเรื่องของนานาชาติ ซึ่งพยายามที่จะให้กัญชาเป็นยาเสพติด แต่เราก็พยายามที่จะใช้หรือออกมาตรการไม่ให้กัญชาเกิดปัญหากับพี่น้องประชาชนและบุตรหลานของเรา โดยเน้นย้ำในส่วนของการใช้ทางการแพทย์เท่านั้น
ต่อข้อถามว่าหลังจากนี้ทางกองกฎหมายของสำนักงาน ป.ป.ส. จะต้องมีการหารือกับทางกระทรวงสาธารณสุข หรือไม่ นายอภิกิต ยืนยันว่าใช่ โดยจะเป็นการไปคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน ว่าจะดึงกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด หรือจะมีกฎหมายตัวอื่นที่จะนำมาใช้ในการควบคุมตัวกัญชา กัญชงอย่างเฉพาะและเข้มงวดหรือไม่
เมื่อถามว่าอาจมองไปถึงการดึงกัญชาให้กลับมาอยู่ในบัญชียาเสพติดใช่หรือไม่ โดยที่ไม่ใช่แค่เพียงประเด็นกัญชาทางการแพทย์ มีความเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิกิต ตอบว่า ก่อนหน้านี้แม้ว่ากัญชาจะเป็นยาเสพติดเสพ เราก็มีการใช้ทางการแพทย์อยู่แล้ว เพราะมีตัวกฎหมายที่อนุญาตให้กัญชาถูกใช้ในทางการแพทย์
เมื่อถามต่อว่าหากจะให้กัญชาใช้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น แล้วเช่นนี้ร้านที่จำหน่ายกัญชา Cannabis shop ต่างๆ ตามพื้นที่ ป.ป.ส. จะต้องไปดูเรื่องการขอใบอนุญาตการจำหน่ายหรือไม่ นายอภิกิต ตอบว่า ตรงนี้อย่างไรคงต้องดูก่อนหลายๆ หน่วยงาน ทั้งกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หากสถานประกอบกิจการใดมีการจำหน่ายกัญชาโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับใบอนุญาตอาจจะต้องปิดตัวลงหรือไม่นั้น ตนมองว่าอาจต้องดูมาตรการต่างๆ ที่จะออกมาเพิ่มเติมหลังจากนี้ก่อน
Advertisement