พลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , พลตำรวจโทสันติ ชัยนิรามัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข , นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล ลองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม พันตำรวจเอกอัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล และขบวนการ รวมผู้ต้องหา 5 คน หลังแอบลักลอบขายยากลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และ 4 หรือ ยาเสียสาว โดยไม่ได้รับอนุญาตฯ
พลตำรวจตรีนพสิทธิ์ มิตรภักดี ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 เปิดเผยว่าหลังจากที่ได้รับการประสานแจ้งข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ว่ามีกลุ่มบุคคลลักลอบนำยาควบคุมแผนปัจจุบัน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 และ 4 ออกนอกระบบนำไปใช้ในทางที่ผิด จึงได้ทำการติดตามสืบสวนสอบสวน พบกลุ่มบุคคลดังกล่าว โดยมีบุคลากรทางการแพทย์เป็นผู้สั่งการ มีพฤติการณ์สั่งซื้อยาจาก อย. โดยทำการสั่งซื้อในนามของคลินิกทางการแพทย์จำนวน 12 คลินิก ก่อนนำยาดังกล่าวไปเก็บซุกซ่อนในห้องพักส่วนตัว และมีผู้เฝ้ายาดังกล่าว ก่อนนำไปแจกจ่ายให้กับผู้ร่วมขบวนการในแต่ละพื้นที่ เจ้าหน้าที่ได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพราะว่ามีความผิดจริงจึงขออำนาจศาลออกหมายจับ 5 ราย คือ 1. พ.ต.อ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล ผู้สั่งการและผู้เบิกยาจากอย. 2. นายดุริยลักษ์ อุปชัย คนเฝ้ายาส่งยาไปในพื้นที่วังทองหลาง 3. นางสาวณัฐพัชร์ ถิรโชติ คนปล่อยยาในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล 4. นายปกรณ์ จันทร์เทพ คนปล่อยยาในพื้นที่กทม.และปริมณฑล และ 5. นายอรชุน จันทนาม คนปล่อยยาคในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล
ในข้อหาร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 Flunitrazepam (ฟลูไนตราซีแพม) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้รับกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะเหตุที่ได้สมคบกันแล้วและสบคบกันจำหน่ายยา รวม 2 ข้อหา
ทั้งนี้ หลังทำการสอบปากคำเสร็จ พนักงานสอบสวนยังต้องพิจารณาในข้อหาฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน และแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในภายหลัง
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังสามารถจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งหน้าได้เพิ่มเติมอีก 2 ราย ในจังหวัดนครปฐม คือ นางสาวพัชรา และ นางสาวพชรมน หลังพบว่า ได้ครอบครองตัวยาวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่ร่วมอยู่ในขบสนการดังกล่าว รวมเป็นผู้ต้องหา 7 ราย
เจ้าหน้าที่สามารถยึดของกลางเป็นยากลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ได้แก่ Alprazolam tablet จำนวน 57,000 เม็ด , Zolpidem tartrate tablet จำนวน 16,100 เม็ด และ Flunitrazepam (ฟลูไนตราซีแพม) tablet จำนวน 24,300 เม็ด
ยึดของกลางเป็นยากลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ได้แก่ Clonazepam tablet จำนวน 63,000 เม็ด และ Clorazapate tablet จำนวน 10,000 เม็ด รวมทั้ง 2 ประเภททั้งหมด 170,400 เม็ด
ส่วนผลจากการสืบสวนสอบสวนพบว่า ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมผู้ต้องหารายย่อย ที่จังหวัดนครปฐม ที่จัดอยู่ในกลุ่มผู้เสพฯ เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จึงได้ทำการขยายผลพบว่ากลุ่มผู้เสพฯได้มีการสั่งยาและมีการโอนเงิน จาก 1 ใน 5 ผู้ต้องหา ทำให้ทราบว่ามีเส้นเงินดังกล่าวไปยัง พ.ต.อ.อัญชุลี
ส่วน พ.ต.อ.อัญชุลี จะถูกปลดออกจากราชการหรือไม่นั้น ทางกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กำลังเร่งดำเนินการยื่นเรื่องไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ก่อนที่จะเสนอเรื่องไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาในกรณีดังกล่าว
นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เผยว่า คำสั่งซื้อยาวัตถุประเภท 2 ผู้สามารถสั่งซื้อได้จะต้องเป็นบุคลากรทางการแพทย์ และจะต้องได้รับอนุญาตจากทางอย. เพราะยาประเภทนี้อย.เป็นผู้ดูแลแต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจในการจ่ายยา
สำหรับจำนวนการสั่งซื้อจะต้องทำเรื่องขอซื้อหรือเบิกจ่ายยามาก่อน จากนั้นทางอย.จะพิจารณาจำหน่ายยาออกไปตามความเหมาะสม อย.จะจำกัดจำนวนตัวยาแต่ละประเภทเป็นต่อปี เช่น Alprazolam 120 กรัมต่อปี , Zolpidem 110 ต่อปี และ Flunitrazepam 150 กรัมต่อปี แต่หากกรณีพบผู้ป่วยที่มีความจำเป็นจะต้องใช้ยาเหล่านี้ แพทย์ก็จะพิจารณาในการจำหน่ายยาให้เป็นพิเศษ
ส่วนกรณีของ พ.ต.อ.อัญชุลี อย.พบความผิดปกติตั้งแต่ช่วงกลางปี พ.ศ 2567 โดยตั้งแต่ปี 65 หมอเริ่มมีการสั่งยาจำนวน 1 ล้านบาท ต่อมา พ.ศ.2566 ได้เริ่มเพิ่มจำนวนยา เป็นเงินมูลค่า 4 ล้านบาท , พ.ศ.2567 มูลค่า 11 ล้านบาท และ พ.ศ.2568 หมอได้เพิ่มจำนวนคลีนิกเป็น 12 แห่ง มีการสั่งซื้อยาเพิ่มมากขึ้นประมาณมูลค่า 7-8 ล้านบาท ปริมาณเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆจนผิดสังเกต
ส่วนกรณีที่พบว่ามีผู้เสียชีวิตมาสวมเป็นบุคคลมาขอเบิกยาประเภท 2 ออกไปนั้น นายกองตรี ดร.ธนกฤต เผยว่า จากการตรวจสอบพบว่ามีรายชื่อผู้เสียชีวิต ตั้งแต่ พ.ศ.2541 มาปรากฎเป็นบุคคลที่มาสวมเบิกยาวัตถุออกฤทธิ์กับคลินิก ล่าสุดได้ทำการตรวจสอบภายใน 2 เดือนย้อนหลังพบว่า มีรายชื่อผู้เสียชีวิต 370 คน หลังจากนี้จะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งหมดก่อน สวนทางกระทรวงสาธารณสุขและอย.จะเป็นผู้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดในการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนการดำเนินการเอาผิดทางวินัยกับหมอแอร์นั้น ขณะนี้ได้ประสานกับทางแพทย์ยาสภาในการพิจารณา เนื่องเป็นความผิดซึ่งหน้า สามารถเอาผิดได้เลย ต่างจากคดีของโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ที่จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
Advertisement