จากกรณี คดีสยองขวัญ นาย เจริญ ศรีจำรัส หรือ เตี้ย อายุ 55 ปี วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช ก่อเหตุลวง นางหนูนิล นิจภาพ หรือ ยายนิล อายุ 89 ปี ไปฆ่ารัดคอ แล้วศพยัดกระสอบ โยนทิ้งป่าละเมาะ ริมถนนสายเทิดพระเกียรติ หมู่ 5 ต.ปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะชิงทรัพย์สร้อยทองหนัก 5 บาท แหวนทองคำ และเงินสด 1 หมื่นบาท รวมมูลค่า 2.5 แสนบาท แล้วหลบหนี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 68
ล่าสุดช่วงเช้าวันที่ 13 พ.ค. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นายเจริญ หรือ ไอ้เตี้ย ผู้ต้องหารายนี้ได้แล้ว ขณะหนีกบดานบ้านญาติคนหนึ่งใน อ.เกาะสมุย ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ต่อมาเมื่อเวลา 21.50 น. วันที่ 13 พ.ค. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 8 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้มีการควบคุม นายเตี้ย มาถึง สภ.เมืองนครศรีธรรมราช โดยมีรองผู้บัญชาการภาค 8 เป็นผู้สอบปากคำด้วยตนเอง
เบื้องต้นระหว่างคุมตัวมาถึงบริเวณโรงพัก ทีมข่าวพยายามสอบถามถึงแรงจูงใจสาเหตุที่ฆ่า นางหนูนิลล ว่าทำไปเพื่ออะไร ติดหนี้พนันจริงหรือไม่ อยากนำเงินไปดูแลลูกจริงหรือไม่ แต่ปรากฏว่าทางเจ้าตัวนั้นไม่มีการตอบคำถามกับสื่อใดๆ
นอกจากนี้ทีมข่าวยังสอบถามว่า อยากกล่าวคำขอโทษไปถึง นางหนูนิลหรือไม่ หรือเสียใจกับทางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ แต่นายเตี้ย กลับนิ่งเฉย ไม่มีการปริปากพูดอย่างใด แม้แต่คำถามเดียว สีหน้าแววตาไม่ได้มีท่าทีว่าจะสลดใจ มีแต่อาการเดินก้มหน้าอย่างเดียว
พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ยังนำของกลาง ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์ที่ตัวของนายเตี้ยที่ใช้ขี่ไปก่อเหตุ รวมถึงหลบหนีไปยังเกาะสมุย และของกลางที่เป็นโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เงินสดกับทองจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นของผู้ตาย
เบื้องต้นหลังจาก พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้มีการสอบปากคำ นายเตี้ยเป็นที่เรียบร้อย ก็เปิดโอกาสให้ทีมข่าวสอบถามถึงแรงจูงใจในการฆ่า โดยนายเตี้ย ยอมรับว่าเพราะไม่มีเงิน เนื่องจากก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นหนี้เพื่อน 10,000 กว่าบาท และไม่มีเงินจ่ายคืน หมดหนทาง พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้มีการวางแผน และไม่ได้ใช้เวลาในการตัดสินใจนาน เป็นการตัดสินใจชั่วขณะในตอนที่กำลังพายายซ้อนท้ายออกจากห้างสรรพสินค้า เพราะเห็นว่าผู้ตายใส่ทองเป็นประจำปกติ ก็เลยมองว่าน่าจะเป็นหนทางในการนำทองไปขายใช้หนี้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดอยากจะทำ เพิ่งจะคิดครั้งแรกคือวันนั้น
หลังจากพาผู้ตายซื้อข้าว ตนได้ตัดสินใจบอกกับผู้ตายว่าจะขอไปทำธุระในซอยที่เกิดเหตุ ตอนนั้นผู้ตายก็ไม่ได้เอะใจสงสัยอะไร ไม่ได้ห้ามปราม ส่วนสาเหตุที่ตนเลือกจุดนั้น เพราะเป็นพื้นที่ลับตาคน ขณะก่อเหตุก็ไม่ได้มีใครเดินผ่านไปผ่านมา จนกระทั่งไปถึงจุดเกิดเหตุ ตนก็ได้มีการผลักผู้ตายจนล้มลงจากรถจักรยานยนต์ ซึ่งตัวของผู้ตายน่าจะรู้ตัวว่ากำลังไม่ปลอดภัย ก็เลยมีการร้องขอชีวิตว่า “อย่าทำฉัน”
แต่ด้วยความที่ตนหน้ามืด ก็เลยไม่ได้หยุดยั้งความตั้งใจ ก่อนจะมีการหยิบเชือกมารัดคอ พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้ใช้มือบีบคอและไม่ได้ใช้มีดขู่ ไม่ได้มีอาวุธอื่นทำร้ายตามที่มีข้อมูลก่อนหน้านี้ ส่วนกระสอบที่ใช้ใส่ศพนั้น ตนไม่ได้มีการเตรียมการมาแต่เจออยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นบริเวณกองขยะ แล้วตัวเองก็ไม่เคยก่อเหตุฆ่าคนตายมาก่อน
และยืนยันว่าไม่ได้ก่อเหตุ เพื่อจะเอาเงินไปให้ลูก แต่ลูกคงทราบแล้วว่าตนโดนจับ เนื่องจากได้คุยกับลูก และลูกก็ร้องไห้ และตนก็ไม่มีอะไรจะบอกลูกด้วย พร้อมกันยังบอกอีกว่า ถ้าตนทำแบบนั้นจริง ต่อให้เอาเงินให้ลูก ลูกก็คงไม่มีความสุข
ทั้งนี้ทีมข่าวถามว่า ทำไมถึงกล้าทำกับผู้มีพระคุณที่คอยเรียกใช้งานมา 5-6 ปี ในประเด็นนี้ด้านของ นายเตี้ย ยืนยันว่าตนกับผู้ตายไม่ได้รู้จักกันนานขนาดนั้น และส่วนตัวไม่ได้คิดว่าผู้ตายเป็นผู้มีพระคุณเหมือนกับที่คนอื่นคิด
เมื่อทีมข่าวถามว่า ไม่สงสารผู้ตายเลยหรอ นายเตี้ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยว่า “สงสารก็สงสาร แต่ไม่รู้จะทำยังไง”
ส่วนเส้นทางการหลบหนีนั้น ตนเดินทางไปเกาะสมุย เพราะในอดีตเคยทำงานอยู่ที่นั่น และจุดที่กบดานก็เคยเป็นห้องเช่าที่เคยพักขณะทำงานในอดีต โดยมีเพื่อนคอยอำนวยความสะดวกให้ แต่ตนไม่ได้แจ้งกับเพื่อนว่าเพิ่งฆ่าคนมา และสาเหตุที่ตนไม่ยอมบอกกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตในวันที่ผู้เสียชีวิตไปถามกลางวงเหล้านั้น นายเตี้ยบอกว่า “ถ้าบอกตอนนั้นก็ถูกจับตั้งแต่ตอนนั้น”
และในประเด็นที่ว่ามีเพื่อนของ นายเตี้ยโทรมาข่มขู่นายดำว่านายเตี้ยจะฆ่าอีก 2 ศพนั้น เจ้าตัวยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยโทรไปข่มขู่ หรือปรึกษาว่าจะทำร้ายใคร พร้อมกับยืนยันว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหาอะไรกับนายดำ และย้อนถามทีมข่าวด้วยน้ำเสียงแข็งว่า “ใครพูดครับ ผมถามว่าใครพูดว่าผมจะไปทำร้ายเขา” ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่นั่งประกบอยู่ด้านหลังของนายเตี้ยต้องใช้มือตบบ่า เพื่อให้สงบสติอารมณ์
ในช่วงท้ายทีมข่าวถามกับนายเตี้ยว่า อยากจะบอกอะไรกับครอบครัวผู้เสียชีวิตไหม เจ้าตัวก้มหน้า และตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ผมขอโทษผมผิดไปแล้ว”
ส่วนเรื่องทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตนั้น เจ้าตัวให้การรับสารภาพว่าได้นำสร้อยคอทองน้ำหนักเกือบ 5 บาท ไปขายที่ร้านทองแห่งหนึ่งบนเกาะสมุยจริง ได้เงินมาประมาณ 170,000 บาท หลังจากนั้นเมื่อได้เงินมาตนก็ทำการซื้อสร้อยคอทองจากร้านเดิม 2 เส้น เส้นละ 2 สลึง เพื่อนำทองไปให้กับเพื่อนที่อำนวยความสะดวกที่พักบนเกาะสมุย แต่ยังไม่ทันได้ให้ก็โดนจับเสียก่อน นอกจากนี้ในของกลาง ยังเหลือเงินสดอีก 118,600 บาท ที่มาจากการขายทองเกือบ 5 บาท ซึ่งยังไม่ได้ใช้
เมื่อถามว่า ประสงค์จะทำแผนประกอบคำสารภาพไหม นายเตี้ยยืนยันว่าไม่ประสงค์ทำแผนประกอบคำสารภาพ เนื่องจากกลัวถูกรุมประชาทัณฑ์ และไม่ประสงค์ที่จะเดินทางไปกราบขอขมาศพด้วย เพราะกลัวว่าจะโดนกลุ่มญาติของผู้เสียชีวิตรุมประชาทัณฑ์เช่นเดียวกัน
Advertisement