ความกรณี น.ส.สุธาศิณี เฉลิมวงษ์ โพสต์ข้อความว่า แม่ คือ นางคณิตา หรือ นิด อายุ 61 ปี เริ่มป่วยเมื่อเดือนพฤศจิกายน 67 และอยู่กับสามีที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 67อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว จึงเข้าทำการรักษาที่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ผลสแกนพบก้อนเนื้อในสมอง แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นก้อนเนื้อร้าย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 67 ลูกสาวได้พาแม่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬา กรุงเทพ และฝากแม่ไว้กับน้า ส่วนตัวลูกสาวกลับไปดูแลลูกที่จังหวัดเพชรบุรี 2 วันต่อมาน้าได้แจ้งว่าพาแม่ไปรักษาแพทย์ทางเลือกเป็นหมอรักษาสมุนไพร ที่อำเภอกบินทร์บุรี ซึ่งเป็นบ้านอยู่กลางป่า ตำบลวังท่าช้าง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ใดๆ
โดยการรักษา ผู้ที่ต้องการรักษาต้องดื่มน้ำต้มดอกดาวเรือง และได้ทำการฉีดยาไม่ทราบที่มา โดยฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ และยังบอกให้เลิกกินยาแผนปัจจุบันเพราะมีสเตียรอยด์ แม่รักษาอยู่ที่สำนักนี้ได้ 5 วัน แม่เกิดอาการหมดสติ จึงพาส่งโรงพยาบาลที่อำเภอกบินทร์บุรี เข้ารักษาในห้อง ICU ทำการรักษาอยู่ 9 วันแม่เสียชีวิต แพทย์ลงความเห็นว่าแม่เสียชีวิตเพราะสมองตาย
ล่าสุด 15.00 น. เมื่อวานนี้ (3 พ.ค. 68) นายธรรมรัฏฐ์ งามแสง นายอำเภอกบินทร์บุรี นายนัฐพงษ์ ขันธรักษ์ เภสัชกรชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี พ.ต.ต.ศิริชนม์ปวีร์ ทาวงษ์ สารวัตรอำนวยการ สภ.วังตะเคียน พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางเข้าตรวจสอบที่บ้านพักหลังดังกล่าว ซึ่งเดินทางจากถนนใหญ่เข้าไปในหมู่บ้าน สองข้างทางเป็นป่ายูคาลิปตัสและป่าอ้อย เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึงพบว่าเป็นบ้านพัก พบเจ้าของบ้านและผู้ที่อ้างว่าเป็นพี่ชายเจ้าของบ้าน ได้บอกว่าห้ามถ่ายภาพและบันทึกเสียง ทางนายอำเภอและเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุขจังหวัดและอำเภอได้แนะนำตัว จากนั้นเจ้าของบ้านจึงยอมพูดคุย แต่ห้ามบันทึกภาพ
โดยนายธรรมรัฏฐ์ งามแสง นายอำเภอ ได้ชี้แจงเหตุผลที่เข้ามาตรวจสอบวันนี้ว่า จากการมีข่าวผู้ป่วยเข้ามารักษาโรคมะเร็งจากนั้นได้เสียชีวิต โดยมีข่าวออกตามสื่อมวลชน โดยผู้อ้างตัวว่าเป็นพี่ชายของเจ้าของบ้าน กล่าวว่า กรณีที่เป็นข่าวนั้นไม่เป็นความจริง เช่นภาพที่ถ่ายน้ำในโอ่งและมีหนอนไม่ใช่น้ำสมุนไพรที่ใช้รักษาคน แต่เป็นน้ำหมักชีวภาพสำหรับทำปุ๋ยรดต้นไม้ และสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่รักษาผู้ป่วยส่วนสมุนไพรที่มีอยู่ภายในบ้านเป็นจำนวนมาก เป็นการนำมาเพื่อใช้รักษาตัวเองของนายพรชัย ทางเจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถดำเนินการใดใดได้
นายธรรมรัฏฐ์ งามแสง นายอำเภอ ได้กล่าวว่า กรณีที่เป็นข่าวในสื่อออนไลน์ว่ามีบุคคลที่ทำการรักษาโดยที่ไม่มีใบอนุญาต หลังจากที่มาตรวจสอบแล้วเขาก็ไม่ได้รับรักษาตรงนี้ ส่วนพวกน้ำหมักที่ลงข่าวก็เป็นน้ำหมักเอาไว้ทำการเกษตร เดี๋ยวต้องตรวจสอบอีกครั้งตรงนี้ก็ไม่มีการรักษา แต่จะเป็นลักษณะช่วยกันดูแล พวกสมุนไพรที่อยู่ในบ้าน เขาก็บอกว่าเป็นของพระ ไม่ใช่ของเขา เท่าที่ดูวันนี้เราก็ไม่เห็นว่ามีผู้ป่วยมารักษา อันนี้ก็ต้องตรวจสอบหลักฐานเพิ่ม เรื่องขอหมายศาลก็ต้องดูอีกครั้ง แต่ถ้าเขาหยุดแล้วก็ต้องดูต่อไป
นายณัฐพงษ์ ขันธรักษ์ เภสัชกรชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปราจีนบุรี กล่าวว่า เรื่องสมุนไพรเราก็ยังไม่เห็นตัวผลิตภัณฑ์ วัตถุดิบก็เป็นสมุนไพร ส่วนที่มีการเผยแพร่น้ำที่อยู่ในโอ่งออกไป เขาบอกว่าเป็นน้ำหมักที่ไว้ใช้กับพืช ส่วนสมุนไพรเขาบอกว่าทำไว้ใช้เอง ส่วนในบ้านเราก็เข่าไปตรวจสอบไม่ได้ ส่วนใครที่ได้รับความสูญเสียก็ติดต่อมาได้ ส่วนสมุนไพร เขาก็ทำใช้เอง ไม่ได้แจกจ่ายให้ใคร
จากกการสอบถามเจ้าหน้าที่ อสม.ในพื้นที่ ให้ข้อมูล เขารักษามาเกือบ 20 ปี แล้ว รักษาทุกโรครักษาได้หมดทุกโรค ใช้สมุนไพรรักษา เป็นน้ำเกลือ และก็ฉีดยาและมีผู้ป่วยนอนที่นี่ แต่วันนี้ไม่รู้หายไปไหน มีพระอยู่ 1 รูป นอนอยู่ให้น้ำเกลือ และฉีดยาวันละเข็ม ในหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีคนมารักษา เหมือนประมาณว่า ใกล้เกลือกินด่าง เขาก็ตามกันมาจากแดนไกล
ต่อมาทางคณะเจ้าหน้าที่ได้เดินทางมาที่สำนักสงฆ์ ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตร พบกับพระอาจารย์บุญเลิศ ได้ให้ข้อมูลว่าตนเองป่วยหลายโรคและทำการใช้สมุนไพรรักษา ตนเองจนหายโดยการกินและฉีด และผู้ป่วยที่มารักษา มีชาวต่างชาติชาวรัสเซีย ก็เคยมารักษาด้วยการกินและฉีดที่ตนเองและหมอ(เจ้าของบ้าน) ได้ช่วยกันทำการรักษา
พระอาจารย์ บุญเลิศ กล่าวว่า ป่วยมานานหลายโรค อาทิ ภูมิแพ้เรื้อรัง มีโลหะหนักที่ปาก เป็นแผลมาโดยตลอด หมอบอกว่าไม่มีทางรักษา เวลาอากาศเปลี่ยนแปลงก็ป่วย หนาวก็ป่วย ร้อนก็ป่วย และอาตมาป่วยมา 30 ปี ได้ใช้สมุนไพรในการรักษาจริง จำพวกยาต้ม ยาหยอด ยาฉีด ยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำ เป็นกลั่นจากสมุนไพรหลายตัว เราทำกันเอง พอเรียนระบบควบแน่นก็เอาความรู้มากลั่นสมุนไพร อาตมาก็ใช้ยาต้มฉีดแต่มีผลข้างเคียง คือทำให้หนาวมากหนาวจนสั่น อาตมาก็คิดว่าโมเลกุลต้องเล็กกว่านี้ ถึงจะเข้าร่างกายได้ อาตมาก็เลยคุยกันว่าคงทำถัง ใช้วิธีควบแน่นเอาถังแก๊สปิคนิคไปจุ่มลงในถัง 200 ลิตร เป็นนวัตกรรมที่เราภูมิใจ แต่ก็รู้ว่าผิดกฎหมาย
แต่การที่จะเอาโอสถสารที่เราต้ม เราจะไม่ได้โอสถสารที่เราต้มเลย เราดักจับเอาจากไอน้ำ และเอามากินทั้งกินทั้งฉีด รักษาได้ทุกโรคแต่ไม่ได้ทุกคน เพราะเกิดจากรรมของแต่ละคน บางคนก็หายบางคนก็ไม่หายก็อยู่ที่ปัจจัย ก็เคยมีคนเสียชีวิตแต่ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุนี้หรือไม่ บางครั้งเอามาทิ้งไว้แต่ไม่เอากลับ คนไม่มีทางเลือก ตัวนี้ถ้าไม่ติดเรื่องกฎหมาย มันทะลุออกไปถึงต่างประเทศแล้ว
เรื่องนี้ทางสำนักงานสาธารณสุขแจ้งว่าจะรวบรวมข้อมูลและหลักฐานต่างๆเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการรักษาต่อไป
Advertisement