เมื่อวันที่ 28 ก.ค.63 ซึ่งเป็นวันที่ครอบครัวน้องชมพู่ต้องเดินทางไปสาบานที่วัดภูผาแอก โดยในวันนี้ก็มีฝนตกตั้งแต่เช้ามืด โดยวันนี้ตรงกับขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 เช้านี้พ่อแม่ของน้องชมพู่ก็ไม่ได้ทำพิธีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่จัดการธุระส่วนตัว และเดินทางออกจากบ้านในเวลา 09.03 น.
คลิกอ่านข่าว "น้องชมพู่" ทั้งหมดที่นี่
กลุ่มแรกที่เดินขึ้นถ้ำภูผาแอก คือ นายชาญ หลาบโพธิ์, นายอนามัย วงศ์ศรีชา, นายนรินทร์ หลาบโพธิ์, นายเสริม สุขพันธ์, นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา, นางจุไรภรณ์ สุขพันธ์, น.ส.สายฝน หลาบโพธิ์, นางสมควร หลาบโพธิ์ ได้เดินขึ้นถ้ำไปพร้อมกัน
โดยระหว่างทางก็มีฝนตกโปรยปรายแต่ตกไม่หนักมากนัก ซึ่งระหว่างทางครอบครัวของน้องชมพู่ก็มีการนั่งพักบ้าง และมีการแวะเดินดูรอยพระพุทธบาท และเดินไปต่อจนถึงถ้ำภูผาแดกในเวลา 09.40 น. โดยการสาบานในครั้งนี้ ได้มีตำรวจชุดรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาเฝ้าดูการทำพิธีด้วย
เมื่อมาถึง นายชาญ หลาบโพธิ์ ได้นำขันที่เตรียมมาไปรองน้ำจากก๊อกน้ำของวัด ซึ่งเป็นน้ำประปาภูเขาที่ไหลมาจากเขาภูผาแอก โดยนายชาญ เปิดเผยว่า น้ำประปานั้นเป็นน้ำที่มีต้นกำเนิดมาจากเขาภูผาแอก ซึ่งเป็นน้ำที่ผุดและเกิดขึ้นมาตลอดไม่เคยขาด ซึ่งวันนี้ตนมารองน้ำด้วยตัวเอง เพราะตนเป็นคนที่บอกให้ลูกทุกคนมาสาบาน ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่าน้ำที่มารองนี้ ไม่มียาสั่งหรือคุณไสยอย่างแน่นอน
ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี เดินทางมาหา นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ เปิดเผยว่า ตนไม่ได้เตรียมตัวอะไร คิดว่าจะเตรียมตัวกับหัวใจไป เมื่อคืนก็นอนหลับปกติ มีแต่ช่วงเช้ามึดที่ฝนเริ่มตก ตนก็กังวลแค่ของที่บ้านจะเปียก ตามความคิดนั้น ตนคิดว่าคงเป็นนิมิตที่ดีที่ฝนตก เมื่อเช้าก็ไม่ได้ทำอะไร ไปซื้อของมาเล็กน้อง ไม่ได้มีของอะไรที่เกี่ยวกับพิธีวันนี้ ส่วนตัวพร้อมจะขึ้นไปด้วยใจ ตนเลือกจะใส่เสื้อเหลืองไป เนื่องจากเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันนี้ตนไม่ได้คิดอะไร ปล่อยวางให้มากที่สุด ญาติพี่น้องไม่ได้มีใครมาบ้านตน มีเพียงพ่อตามาเมื่อ 2-3 วันก่อน
ส่วนตัวตอนนี้ตนคิดว่าเรื่องที่กำลังเจอเหมือนเป็นความขัดแย้งของคนในหมู่บ้าน ไม่เหมือนเป็นเรื่องของชมพู่ อย่างเรื่องที่มีคนใส่ร้ายตน ซึ่งหลังออกข่าวไปก็ยังไม่มีอะไรโต้ตอบ หรือแรงกระเพื่อมกลับมา
วันนี้ตั้งใจไปสาบาน หากมีการครางแครงใจอะไร ตนก็พร้อมชี้แจง การดื่มน้ำสาบานตนยืนยันว่าไม่ดื่ม หากไม่ไปที่วัดพระแก้ว เพราะจิตใจไม่ศรัทธา ทำอะไรก็ไม่สัมฤทธิ์ ตนจึงไม่ทำ ประกอบกับญาติฝ่ายพ่อ คนมาให้กำลังใจมีความไม่สบายใจ
ด้านนางสมพร หลาบโพธิ์ ป้าของชมพู่ ระบุว่า ตนไม่ได้เตรียมอะไรไป ก็แค่ไปตามที่พ่อมาบอกเท่านั้น ช่วงเช้าไม่ได้มีอะไร แค่ไปซื้อของเข้าบ้าน ตนไม่ได้เครียดอะไร ตอนนี้ยังปกติ ส่วนการออกจากบ้านก็ไม่ได้คิดว่าจะออกจากบ้านขาไหน ใส่ชุดอะไร ตนมีหวังว่าหากไปสาบานอะไร ๆ จะเบาลงบ้าง
โดยก่อนออกจากบ้าน ลุงพลสมเสื้อยืดสีเหลือง กางเกงยีน รองเท้าแตะสีแดง ห้อยพระหลวงปู่สรวง เหรียญพระธาตุพนม พระใส
ป้าแต๋น สวมเสื้อยืดสีเหลือง กางเกงขายาวสีดำ รองเท้าแตะ สะพายกระเป๋าสีฟ้า ห้อยพระสิวลี (พระติดตัวมานานจำวัดไม่ได้) พร้อมหยิบพระพุทธรูปปางนาคปรก ติดตัวมาด้วย
จากนั้นมีการสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย จุดธูป 9 ดอก บูชาพวงมาลัยหน้าตู้พระเป็นสิริมงคล ก่อนหยิบพระนาคปรก 2 องค์ จากวัดด่านพระอินทร์ (เรามีภาพเก่าด้วยนะครับ) พญาครุฑที่หมอปลาเคยให้ไว้นำขึ้นบูชาที่หน้ารถ ก่อนนำพวงมาลัยไหว้บูชาแม่ย่านางรถ
โดยจากการที่ทีมข่าวสังเกต ป้าแต๋น ขึ้นรถกระบะใช้เท้าซ้าย เป็นข้างแรกที่ก้าวขึ้นรถ ลุงพลก้าวเท้าขวาขึ้นรถ โดยก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะก้าวรอขาไหนขึ้น จากนั้นรถลุงพลก็มุ่งหน้าขึ้นวัด โดยออก 9.28 น.
ทีมข่าวเดินทางไปพร้อมลุงพลมาถึงที่วัดภูผาแอก ซึ่งขณะนั้นฝนตกลงมาเป็นระยะ ๆ ลุงพลได้เข้าไปกราบพระที่ศาลาการเปรียญ ก่อนขึ้นไปดื่มน้ำเปล่า 1 ขวด จากนั้นเดินขึ้นถ้ำภูผาแอก เพื่อไปทำพิธีสาบาน ซึ่งครอบครัว ญาติคนอื่นได้รออยู่บนจุดพิธีแล้ว ระหว่างทางก็มีคนที่มาให้กำลังใจลุงพล เดินขึ้นถ้ำไปด้วย
เมื่อเดินไปจนถึงวัด ลุงพลได้วางพญาครุฑ พระนาคปรก 2 องค์ลงกับหิน จากนั้นก็กราบลงกับพื้นที่จุดนี้ เนื่องจากระบุว่าเป็นการกราบตามความศรัทธา โดยบอกว่าคนที่ศรัทธาจริง ๆ จะกราบที่จุดนี้ก่อนขึ้นไปบนถ้ำ
อย่างไรก็ตาม แผนผังการนั่งสาบาน จะแบ่งแยกชายและหญิง เนื่องจากบริเวณแท่นพิธี ตามความเชื่อแล้วจะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นไปนั่ง จึงจะมีเพียงผู้ชายเท่านั้น ได้แก่ ตาชาญ นายอนามัย นายไชย์พล นายนรินทร์ และนายเสริม นอกจากนั้นผู้หญิงจะนั่งบริเวณด้านล่าง
ในเวลา 10.10 น. ลุงพลเดินทางถึงจุดทำพิธี ซึ่งอยู่หน้าเจดีย์ธาตุของหลวงปูลิ้น อดีตเจ้าอาวาสวัดภูผาแอก เมื่อลุงพลเดินทางมาถึง ก็เดินขึ้นมาบนชั้นผู้ชาย และพญาครุฑ พระนาคปรก 2 องค์ ตั้งไว้หน้ารูปปั้นเหมือนของพระอาจารย์ลิ้น ทีฆปญฺโญ (ทีคะปันโย) อดีตเจ้าอาวาสวัดภูผาแอก หลังจากนั้นลุงพลก็กราบรูปปั้นเหมือนของพระอาจารย์ลิ้น 3 ครั้ง และหันไปกราบพระอธิการบุญมา ศรีลเตโช เจ้าอาวาสวัดภูผาแอก อีก 3 ครั้ง หลังจากนั้นทุกคนก็กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย สวดนะโม 3 จบ พร้อมกันและกราบลง 3 ครั้ง
หลังจากนั้นพระอธิการบุญมา ได้ประกอบพิธีทำน้ำมนต์ โดยใช้ขันธ์ 5 ประกอบด้วย เทียนขี้ผึ้งบริสุทธิ์ (ทำจากรังผึ้งต้มแล้วกรองมาปั้น) จำนวน 6 คู่ และดอกไม้จำนวน 6 ดอก ซึ่งพระอธิการบุญมา ได้หยิบเทียนขี้ผึ้งมาจากขันธ์ 5 และจุดปลุกเสกน้ำที่ใช้ดื่มโดยตั้งสวดนะโม 3 จบ ต่อด้วยบทอัญเชิญเทวดา และสวดบทชยมงคล หรือบทพาหุง และจุดเทียนให้น้ำตาเทียนหยดลงไปในน้ำ เมื่อสวดจบพระอธิการบุญมาได้จุ่มเทียนลงไปในน้ำมนต์เป็นอันเสร็จพิธี
ขณะเดียวกัน ลุงพล ได้พูดเสนอว่าให้กล่าวคำสาบานทีละคน "ให้เติมประโยคเข้าไปว่า ให้ครอบครัววิบัติ ให้ฉิบหาย ให้ตายโหงตามน้องชมพู่ไปเลย" แต่ตาชาญก็ตอบกลับว่า "พ่อเป็นคนทำ ให้ทำตามพ่อ ไม่เอาตามลุงพล"
หลังจากนั้นตาชาญ ก็ได้เป็นผู้นำกล่าวคำสาบาน โดยนายชาญ ได้ขานชื่อตัวเองเป็นคนแรก และตามด้วยนายนรินทร์ หลาบโพธิ์, นายเสริม สุขพัน, นายอนามัย วงศ์ศรีชา, นางสาวสมพร หลาบโพธิ์, นางจุไลภรณ์ สุขพันธ์, นางสาวสายฝน หลาบโพธิ์, นางสมควร หลาบโพธิ์, นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา และนายไชย์พล วิภา ตามลำดับ
โดยนายชาญ กล่าวว่า ขอสาบานต่อหน้าหลวงปู่ลิ้น และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่อยู่ ณ วัดถ้ำภูผาแอกแห่งนี้ว่าข้าพเจ้ามีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปจนถึงแก่ความตายของเด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่นั้น ขอให้ข้าพเจ้ามีอันเป็นไปจนถึงแก่ความตายภายใน 3 วัน 7 วัน ซึ่งลุงพลกล่าวมาถึงแค่นี้และไม่ได้กล่าวต่อ
ตาชาญและทุกคนยกเว้นลุงพล กล่าวต่อว่า แต่ถ้าหากข้าพเจ้ามิได้มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับการตายนี้ ของน้องชมพู่ ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวมีแต่ความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
หลังจากนั้นทุกคนก็กราบพระและเริ่มดื่มน้ำสาบาน โดยนายชาญ ได้ยกขันดื่มเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ตักให้นายนรินทร์ หลาบโพธิ์, นายเสริม สุขพัน, นายอนามัย วงศ์ศรีชา ดื่มตามลำดับโดยลุงพลไม่ดื่มน้ำ หลังจากนั้นชั้นผู้หญิงก็ดื่มน้ำสาบาน นางสมควร, นางจุไรภรณ์, น.ส.สายฝน และนางสาวิตรี โดยที่นางสาวสมพรมหรือป้าแต๋น ไม่ได้ดื่มน้ำร่วมสาบาน
หลังจากนั้นนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ได้กล่าวคำสาบานอีกครั้ง ต่อหน้าพระอธิการบุญมา, รูปปั้นเหมือนพระอาจารย์ลิ้น และสถูปธาตุพระอาจารย์ลิ้น โดยกล่าวนะโม 3 จบ พร้อมกับกล่าวคำสาบานคนเดียวดังนี้
ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย คุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก พระแก้วมรกต พระสยามเทวาธิราชเจ้า ผู้ปกปักษ์รักษาประเทศบ้านเมืองแห่งนี้ ทรงโปรดเป็นประธาน ข้าพเจ้านายไชย์พล วิภา ขอสาบานว่าถ้าข้าพเจ้ามีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการตายของเด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา ขอให้ครอบครัวข้าพเจ้า มีอันวิบัติ มีอันฉิบหาย ให้ตายตกให้ตายโหงไปกับน้องอรวรรณ วงศ์ศรีชา คือน้องชมพู่ ภายในเร็ววันด้วยเถิด
หลังกล่าวเสร็จลุงพลก็ก้มลงกราบ 3 ครั้ง และกล่าวต่อว่า แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการตายของเด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือน้องชมพู่ ขอให้ครอบครัวของข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ พ่อแม่ผู้มีอุปการะคุณจงมีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยกันทุกท่านเทอญ
หลังจากนั้นลุงพลก็ก้มลงกราบ 3 ครั้ง และบอกกับพระอธิการบุญมาว่า ในเรื่องน้ำสาบาน ตนก็ยังยืนยันคำเดิมว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ไปดื่มที่วัดพระแก้วมรกต ซึ่งตนก็ตั้งใจไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากสาบานเสร็จ ลุงพลก็ได้จุดธูป 1 กำมือ และปักกลับหัวที่หน้าสถูปธาตุของพระอาจารย์ลิ้น
ในระหว่างที่กำลังส่งน้ำสาบานไปให้ชั้นผู้หญิงด้านล่าง ก็เกิดเหตุการณ์มองหน้ากันระหว่างนายอนามัยกับลุงพล โดยลุงพลถามว่า "มีอะไรไหมมัย" พ่อน้องชมพู่ตอบว่า "มองหน้าเฉย ๆ" ลุงพล ก็ถามกลับมาว่า "หน้าตายังดีอยู่ไหม" พ่อน้องชมพู่ตอบว่า "ก็เหมือนที่พูดแหละ"
หลังจากทำพิธีเสร็จ ลุงพลกับป้าแต๋นเดินลงมาจากภูผาแอก โดยไม่ได้ไปที่ถ้ำพระ โดยลุงได้ลงมากราบในจุดเดิม คือหินตรงทางเข้า ลุงสวดบูชาพระรัตนตรัย
จากนั้นลุงพลก็เดินไปหยิบเศษไม้ที่ถูกเผา ซึ่งอยู่จุดนั้น และเอาเข้าปากเคี้ยว ซึ่งระบุว่าเป็นการแก้เคล็ดอะไรบ้างอย่าง
ทีมข่าวสอบถาม นายไชย์พล วิภา หลังจากเสร็จพิธี เปิดเผยว่า ตนสบายใจไปหนึ่งเปราะที่ได้ขึ้นมาทำให้ครอบครัวมีความมั่นใจซึ่งกันและกัน โดยคำกล่าวที่ตนตั้งใจจะกล่าวไม่ได้อยู่ในคำของที่ตาชาญนำกล่าว ซึ่งตนอยู่ในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในพิธีกรรม อย่างไรก็ศักดิ์สิทธิ์ ตนจึงเลือกจะกล่าวใหม่ให้ชัดถ้อย ชัดคำ ไม่ต้องอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ตนตั้งใจจะกล่าวให้ออกมาจากความศรัทธา ซึ่งตอนนั้นพยายามกล่าวตามที่ตาชาญกล่าวแล้ว ทำให้ตนรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ ตนจึงตัดสินใจเงียบ ซึ่งสิ่งที่ตนกล่าว ญาติ ๆ คนอื่นก็ได้ฟังทุกคน เพราะที่ผ่านมาตนได้รับสิ่งไม่ดีอยู่ฝ่ายเดียว ตนจึงจำเป็นต้องพูดต่อหน้าญาติ และสื่อมวลชน ให้ได้หายสงสัยในตัวของตน
ตาชาญเป็นเสาหลักของครอบครัว ต้องมีความตรงไปตรงมา ซึ่งหากตาชาญยืนยันว่าหลักจากนี้จะไม่มีกล่าวร้ายกัน ตนมองว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ผ่านมาหากครอบครัวเราเป็นญาติกันจริง ๆ จะต้องไม่เชื่อแค่ลมปากของคนไม่กี่คน เพราะทำให้ครอบครัวเกิดความแตกแยก
ช่วงลุงพลกำลังกล่าวสาบาน ทีมข่าาสอบถาม นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่ของชมพู่ เปิดเผยว่า ตนก็ปกติ ไม่ได้มีอะไรต้องเตรียมตัวมาก การมาครั้งนี้เพื่อมาดื่มน้ำสาบานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็นในการตายของน้องชมพู่ ซึ่งพวกตนก็ยินดีและรู้มานานแล้วว่าจะมีการสาบานแบบนี้ ทุกอย่างปกติ เสื้อผ้าปกติ ไม่ต้องมีการคิดจะต้องก้าวเท้าข้างไหนออกจากบ้าน เช้ามายังตื่นมาทำกับข้าว นึ่งข้าวเหนียวเป็นปกติ
ส่วนเรื่องลุงพลกล่าวคำสาบานไม่ตรงกับที่ครอบครัวเตรียมไว้ ตนก็คิดว่าเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล ซึ่งลุงพลก็มีสิทธิ์ที่จะคิดในส่วนของลุงพล ตนไม่ก้าวล่วง
ส่วนเรื่องคดีความนั้น ตนไม่มีความกังวล เพราะมีตำรวจทำอยู่แล้ว พวกตนก็ช่วยเป็นบางเรื่อง ตอนนี้ตำรวจก็ไม่ได้บอกอะไรว่าจะพักคดีหรือไม่ ตนก็ยังมั่นใจในการทำงานของตำรวจเหมือนเดิม เพราะตนยังเห็นตำรวจทำงานอยู่ทุกวัน
ภายหลังการสาบานเสร็จ ครอบครัวของน้องชมพู่ได้เดินทางไปยังถ้ำอุโบสถ (ถ้ำพระ) บนถ้ำวัดภูผาแอก เพื่อไปกราบพระพุทธรูปโบราณที่พระอาจารย์ลิ้นเคยปั้นไว้ โดยเมื่อไปถึง แม่ของน้องชมพู่และญาติคนอื่น ๆ ได้จุดธูป 3 ดอก ไหว้พระพุทธรูปเพื่อความศิริมงคล
โดยทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า วันนี้ได้สาบานตนก็รู้สึกดี และมั่นใจในการกล่าวคำสาบานทุกคำ ซึ่งเรื่องความสัมพันธ์นั้นตนก็คิดว่าขึ้นอยู่กับเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คน การดื่มน้ำสาบานในวันนี้นั้นตนไม่ได้กลัวอะไร เพราะตาชาญ เป็นคนไปรองน้ำมา ซึ่งตาชาญก็เป็นคนที่ตนนับถือเหมือนพ่อ ยายสมควรก็นับถือเหมือนแม่จริง ๆ ซึ่งน้ำที่ใช้ในการดื่มสาบานวันนี้ ก็เป็นน้ำที่มาจากภูเขา และเหมือนกับน้ำที่ตนกินในหมู่บ้าน
นายอนามัย กล่าวต่อว่า วันนี้ช่วงที่เดินขึ้นเขาตอนแรก ๆ ก็จะรู้สึกเหนื่อยหน่อย แต่เมื่อเดินขึ้นไปประมาณ 200 เมตร ก็เริ่มดีขึ้น ซึ่งตนก็เดินขึ้นด้วยความตั้งใจ
ทีมข่าวสอบถาม นายชาญ หลาบโพธิ์ ตาของชมพู่ เปิดเผยหลังจากพิธี ระบุว่า ตนก็ดีใจที่เห็นลูกหลานมาสาบานร่วมกัน ตนไม่ได้คิดอะไร กรณีลุงพลไม่ดื่มน้ำสาบาน เพราะการไม่ดื่มน้ำสาบานไม่ได้หมายความว่าลุงพลจะฆ่าน้องชมพู่
ตนไม่มีอะไรที่ติดขัด เพียงอยากให้คนในครอบครัวมาแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อกัน เพราะเชื่อว่าคนในครอบครัวไม่มีใครทำร้ายน้องชมพู่ ไม่มีใครอุ้มชมพู่ไปฆ่า ตนมั่นใจแบบนี้ ตนคิดว่าครอบครัวคงจะกลับมาเหมือนเดิมได้ แต่ต้องใช้เวลา
การสวดบททำน้ำมนต์ เป็นการกล่าวเชิญเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลที่อยู่บนภูเขา ถ้ำผาแอก ให้มาเป็นสักขีพยาน น้ำที่เอามาก็เป็นน้ำจากเขา เป็นน้ำบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรเจือปน มีมดก็เททิ้งไปแล้ว ในขันน้ำมันต์ก็ไม่มีมนตร์ดำมนตร์แดงอะไร ซึ่งตาเป็นคนเอาน้ำมาเอง ตนหวังให้ครอบครัวกลับมาเหมือนเดิม เพราะตนยังรักลูกทุกคน รักหลานทุกคน ตอนนี้หลาน ๆ ก็ยังไปเล่นกัน ส่วนพ่อแม่ของหลาน ๆ ก็ค่อย ๆ เข้าหากัน โดยไม่อยากให้ใส่ร้ายต่อกัน
ตนอยากให้ทั้ง 2 ฝ่าย คือแม่ชมพู่ และป้าแต๋น กล่าวคำขอโทษต่อกัน เพราะการพูดแต่ละครั้งไม่ได้ตั้งใจ จงใจที่จะทำร้ายให้ อย่างที่แม่ชมพู่พูด ซึ่งแม่ชมพู่ก็ไม่ได้ปรักปรำว่าใครเป็นคนร้าย เพียงอยากให้พิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้ฆ่าชมพู่ ซึ่งการสาบานจริง ๆ จะพูดอะไรก็พูดได้ แต่หลัก ๆ คือการดื่มน้ำสาบานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า เราไม่ใช่คนที่ไปฆ่าน้องชมพู่
ทั้งนี้ตนเชื่อว่าโจรที่ก่อเหตุคงนั่งหัวเราะครอบครัวเราอยู่ เพราะเห็นว่าเรากำลังทะเลาะกัน การทำพิธีครั้งนี้เพียงสร้างความมั่นใจในครอบครัว วันนี้ตนอยาก ”ขอร้อง”ลูก ๆ ทุกคน ทั้งลูกเขยลูกสาว ขอให้หยุด ถึงใครจะมีการไม่สบายใจ กังวลใจ ให้เลิกกล่าวหากันอีก ครอบครัวจะได้ดีขึ้น ๆ ความวุ่นวายจะได้ไม่เกิดขึ้น
นายไชย์พล วิภา ลุงของชมพู่ กล่าวว่า กรณีการมองหน้านายอนามัย ตนเห็นพ่อชมพู่มองหน้าตน จึงถามว่ามองทำไม ซึ่งพ่อชมพู่ก็บอกว่าไม่เห็นหน้านาน โดยตนสังเกตอยู่นาน เหมือนพ่อชมพู่กำลังคิดอะไรบางอย่าง ยอมรับว่าพ่อชมพู่แปลกมาก ซึ่งตนจึงตัดสินใจทักพ่อชมพู่ไป เพราะกลัวพ่อชมพู่มองนานแล้วความหล่อจะละลาย
ลุงพล ระบุว่า ตอนทักพ่อชมพู่ ตนยังถามติดตลกทำนองว่า ตนยังหล่อเหมือนเดิมไหม ซึ่งพ่อชมพู่ไม่รู้ตอบอะไร แต่ไม่ได้ขำ ที่ผ่านมาตนไม่เคยมีปัญหากัน ตนติดใจที่ทำไมมองมาที่ตนแบบนั้น อยากให้ครอบครัวชมพู่คิดดี ๆ มีสติ ว่าตนขัดแย้งอะไรที่จะไปก่อเหตุได้ไหม คนอย่างตนจะกล้าไปก่อเหตุได้ไหม ส่วนใครจะพูดอะไรให้ฟัง ตนอยากบอกว่าเป็นแค่ลมปากคนไม่กี่คนที่พยายามสร้างความแตกแยก ซึ่งคนอื่นที่พูดอาจไม่ได้หวังดีกับตน ตนไม่ได้โกรธอะไร ตนอยากให้ครอบครัวชมพู่ไปคิดดู
นายอนามัย วงศ์ศรีชา พ่อของน้องชมพู่ เปิดเผยว่า วันนี้ช่วงที่กำลังทำพิธีสาบาน เป็นช่วงที่ตนมองไปทางลุงพลพอดี และเขาก็จ้องตาตน ซึ่งตนก็ไม่ได้หลบสายตา เพราะก่อนหน้านี้ ช่วงที่ท่าน สส.สิระ มาที่หมู่บ้านกกกอก ลุงพลนั้นเคยพูดว่าตนไม่กล้ามองหน้าเขา วันนี้ตนจึงมองและสบตากับลุง และลุงพลก็ถามว่า "มองหน้าผมทำไม" ตนก็ตอบว่า "มองหน้าเฉย ๆ นี่แหละ ไม่เคยเห็นกันตั้งนานแล้ว" ซึ่งการมองวันนี้ตนยืนยันว่าไม่ได้มีความขุ่นเคืองใจอะไรกัน เพียงแต่ลุงพลเคยพูดว่า พวกตนไม่กล้ามองหน้า ตนก็มองหน้าเขาเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม วันนี้ตนกับลุงพลไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่พูดกันตอนที่สบตากันเท่านั้น ส่วนที่ตนมองไปทางต่าง ๆ ตนก็ไม่ได้ตั้งใจจะมอง เพียงแค่มองถ้ำมองพระเท่านั้น
Advertisement