ครูขอโทษ ส่งแชต "สมควรตาย" ปัด ไม่รู้ "น้องการ์ฟิว" ถูกบีบตัดผมจนคิดสั้น (คลิป)

จากกรณี เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 65 เฟซบุ๊ก นักเรียนเลว ได้แชร์โพสต์เฟซบุ๊ก Tai Oranuch - ต่าย อรนุช ผลภิญโญ เล่าถึงเหตุการณ์นักเรียนในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ได้ผูกคอเสียชีวิตในบ้าน โดยได้พูดคุยกับคุณปู่ของน้องการ์ฟิว ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ ได้ความว่า ก่อนหน้านี้น้องการ์ฟิวถูกครูตำหนิเรื่องทรงผมที่ไม่ถูกระเบียบของโรงเรียน และถูกสั่งให้ไปตัดให้ถูกระเบียบของโรงเรียน อีกทั้งยังถูกเพื่อนล้อว่าไม่สวย ซึ่งคุณปู่ก็ไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การต้องเสียหลานไป

โดยหลังจากเรื่องราวดังกล่าวได้เผยแพร่ออกไป มีคนเข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก และแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิด

วันที่ 21 พ.ย. 65 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี เดินทางไปที่บ้านของน้องการ์ฟิว ไปพบกับ นายแป๊ะ เรียนรัตน์ อายุ 63 ปี ปู่น้องการ์ฟิว เล่าให้ฟังว่า ก่อนจะเกิดเหตุ 17 พ.ย.65 ช่วง 7 โมงเช้า ตนเองได้ออกไปช่วยภรรยาขายไก่ย่างที่ตลาด ส่วนน้องการ์ฟิวอยู่บ้านคนเดียว

ต่อมาเวลาประมาณบ่าย 3 หลังจากตนเองและภรรยาขายไก่ย่างเสร็จได้กลับมาที่บ้าน และเห็นว่าน้องการ์ฟิวนอนอยู่ในห้องไม่ได้ไปโรงเรียน จึงเอ่ยปากถามหลานว่า “การ์ฟิวทำไมไม่ไปโรงเรียน” หลานตอบกลับมาว่า “ฟิวลาครูแล้ว” ตนเองจึงไม่ได้เอะใจอะไร และเดินทางไปเกี่ยวหญ้ากับภรรยาต่อ

กระทั่งเวลาประมาณ 6 โมงเย็นได้กลับมาบ้าน ไม่เห็นน้องการ์ฟิว แต่เห็นรถมอเตอร์ไซค์และรองเท้าอยู่เดิม ตนเองพยายามตะโกนเรียกหาก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ให้ภรรยาโทรหาก็ไปพบว่าโทรศัพท์น้องถูกวางไว้บนเครื่องซักผ้าหลังบ้าน ซึ่งตนเองไม่คิดว่าน้องการ์ฟิวจะตัดสินใจฆ่าตัวตาย และได้นั่งรอหลานจนถึงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม เพราะคิดว่าเพื่อนน้องอาจจะรับไปเที่ยวนอกบ้าน

ตนเองรออยู่นานมาก จึงเริ่มรู้สึกแปลกใจว่าน้องการ์ฟิวไม่ยอมกลับบ้านมาสักที จึงตัดสินใจเดินไปหยิบไฟฉายลองขึ้นไปส่องบนบ้านชั้น 2 ดู แต่เมื่อเดินไปถึงบันไดยังไม่ทันก้าวขึ้นไปหาน้องการ์ฟิว ก็พบว่าน้องได้แขวนคอกับคานไม้ชั้น 2 ของบ้าน ลักษณะยืนพิงกับต้นเสาไม้ ตอนนั้นตนเองเห็นหลานแล้วหัวใจแทบสลาย รีบวิ่งไปเรียกย่าที่นอนอยู่ให้มาดูน้อง และช่วยกันเอาร่างน้องลงมา

ต่อมาตนเองยังไปพบว่า หลานได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้บนโต๊ะอ่านหลังสือสีชมพูภายในห้องนอนของหลานอีกด้วย ใจความในจดหมายระบุประมาณว่า “ฟิวรักปู่กับย่านะ การ์ฟิวไม่อยู่แล้ว ขอให้ปู่กับย่าดูแลน้องด้วย ฟิวขอโทษ ฟิวเกิดมาฟิวมันขี้เหล่ ฟิวมันไม่สวย ชาติหน้าฟิวขอให้ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง” ตอนนั้นตนเองได้อ่านจดหมายแล้ว น้ำตาไหลและเสียใจมากที่หลานน้อยใจคิดสั้นแบบนี้

ส่วนสาเหตุที่ทำให้หลานแขวนคอตาย ตนเองเชื่อว่าน่าจะเกิดจากหลานชายถูกคุณครูสั่งให้ตัดผม ซึ่งตนเองทราบมาว่าก่อนหน้าที่น้องจะแขวนคอตายน้องการ์ฟิวได้ระบายกับย่าให้ฟังว่า น้องถูกคุณครูที่โรงเรียนคนหนึ่ง สั่งให้ไปตัดผมหน้าม้าออก ซึ่งน้องได้ตัดไปแล้ว 1 ครั้ง ประมาณ วันที่ 11 พ.ย. แต่เมื่อผมบางส่วนออกได้เดินทางไปโรงเรียน น้องได้ถูกคุณครูท่านเดิมไล่ให้กลับไปตัดใหม่ให้สั้นกว่านี้ หากไม่ตัดจะไม่ให้เข้าห้องเรียน ทำให้น้องเสียใจและเอาเรื่องมาเล่าให้ย่าฟัง

จากนั้นวันที่ 14-16 พ.ย. น้องการ์ฟิวได้เดินทางไปโรงเรียนซึ่งตนเองสังเกตว่า หลานมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป คือน้องได้เอาเสื้อกันหนาวคลุมหัวไว้ตลอด คาดว่าน่าจะอายที่ถูกตัดผมหน้าม้าออกไป และน้องได้กลับมาเล่าให้ย่าฟังอีกว่าถูกเพื่อนและครูที่โรงเรียนล้อว่า ไม่สวย และพูดจาบลูลี่ ซึ่งนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องตัดสินใจแขวนคอตาย

ซึ่งหากการ์ฟิวได้ยินปู่อยู่ก็อยากให้ชาติหน้าหลานได้เกิดมาเป็นลูกหลานปู่อีกครั้ง และขอให้ชาติหน้าหนูได้เกิดเป็นผู้หญิงสมใจที่หนูอยากเป็นด้วย

นางสังทาน เรียนรัฒน์ อายุ 62 ปี ย่าของน้องการ์ฟิว ที่บอกว่าก่อนหน้าจะเกิดเรื่องหลานได้มาปรับทุกข์ตอนกินข้าวด้วยกัน บอกว่า ถูกครูที่โรงเรียนกดดันสั่งให้น้องไปตัดผมหน้าม้าที่น้องไว้ยาวออก สั่งให้ไปตัดสั้นลง ซึ่งตัวน้องไม่ชอบให้ผมหน้าม้าของน้องสั้น เนื่องจาก น้องค่อนข้างอาย เพราะหน้าผากของน้องกว้าง หากเอาผมหน้าม้าออกน้องจะไม่มั่นใจในตัวเอง

แต่ครูคนเดิมในโรงเรียนก็สั่งทุกครั้งให้ตัดหน้าม้าให้สั้นอีก หากไม่ตัดจะไม่ให้เข้าห้องเรียน ซึ่งก่อนหน้านี้หลานได้ตัดผมหน้าม้าให้สั้นลงแล้ว ถึง 2 รอบ แต่ก็ยังไม่พอใจครู แถมยังถูกเพื่อนในโรงเรียนพูดบลูลี่ว่า อีไม่สวย ซึ่งตนเองก็ได้แต่รับฟังหลาน และให้กำลังใจ ซึ่งน้องไม่อยากไปโรงเรียนอีกแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าหลานจะตัดสินใจฆ่าตัวตาย

ตนเองขอให้หลานเป็นศพสุดท้ายที่ต้องมาเสียชีวิตเพราะคำพูดของครูและเพื่อนที่บลูลี่น้อง และอยากให้โรงเรียนช่วยหาตัวครูคนนั้นที่ทำแบบนี้กับน้อง และขอให้ปรับเปลี่ยนกฎระเบียบทรงผมได้แล้ว อย่าไปกดดันเด็กมากนักเลย เพราะเราไม่รู้เลยว่า บางคำพูดอาจจะทำให้เด็กคิดมากและอับอายขนาดไหนที่ต้องมาโดนกระทำแบบนั้น

ย่ายังบอกถึงลางสังหรณ์อีกว่าก่อนหน้านี้ 1 ปีก่อนการ์ฟิว เคยถามตนเองเรื่องคานไม้ที่การ์ฟิวใช้แขวนคอตายอีกด้วย ซึ่งตนเองได้ใช้เชือกไนล่อนผูกไว้ โดยการ์ฟิวถามว่าเอาเชือกผูกกับคานไม้ไว้ทำไม ตนเองจึงตอบไปว่าเอาไว้ตากผ้า โดยตนเองไม่คิดเลยว่าสิ่งที่หลานถามวันนั้น หลานจะใช้คานไม้ตรงนี้แขวนคอตัวเองเสียชีวิต

ทีมข่าวเดินทางไปที่ร้านตัดผมที่น้องการ์ฟิว ตัดผมที่ร้านแห่งนี้เป็นประจำ เราได้พูดคุยกับ นายเพรดเบ้นท์ เฉื่อยกลาง ช่างตัดผม บอกว่า น้องการ์ฟิวเป็นลูกค้าขาประจำที่ร้านมานานแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเวลาน้องมาตัดผมทุกครั้งน้องจะชอบให้ตนเองตัดรองทรงต่ำให้ และไม่ให้ตัดผมบริเวณหน้าม้าออก เพราะน้องจะรักผมหน้าม้าตัวเองมาก ซึ่งหน้าม้าของน้องจะไม่เคยสั้นเกินเหนือคิ้วเลย มีหลายครั้งที่การ์ฟิวแวะมาตัดแล้วสั้นไม่พอก็จะกลับมาให้ตนเองมาตัดแก้ให้ และบอกว่าครูสั่งให้มาตัดผมแก้ ซึ่งมีหลายต่อหลายครั้งไม่ใช่ครั้งเดียว

ทันทีที่ตนเองทราบข่าวเสียใจมาก และไม่คิดว่าน้องจะตัดสินแบบนั้น และอยากให้ครูที่โรงเรียนช่วยฟังเสียงสะท้อนจะเด็กด้วยเพราะตนเองตัดผมนักเรียนหลายคน มีเด็กนักเรียนจำนวนมากที่กลับมาให้ตนเองตัดแก้ให้เพราะยังสั้นไม่พอ

ทีมข่าวได้เดินทางไปยัง มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ใน ต.ก่อเอ้ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี เนื่องจากทางคุณครูที่เป็นคนพิมพ์ข้อความแชตติดต่อมาขอชี้แจงกับทางอมรินทร์ทีวี เพราะถูกสังคมและผู้ปกครองต่อว่าทั้งเรื่องการตายของน้องการ์ฟิวและเรื่องแชตหลุดที่ทางคุณครูมีการด่าซ้ำในไลน์กลุ่มของนักเรียน

โดยวันนี้ทาง นายสุปัญญา โยธาธรรม อายุ 45 ปี เป็นครูชำนาญการพิเศษ ขอเปิดใจกับอมรินทร์ทีวี ถึงเรื่องแชตที่หลุดออกไปว่าเป็นคนพิมพ์แชตดังกล่าวจริง แต่แชตที่ถูกแคปออกไปเผยแพร่นั้นเป็นแชตที่ถูกแคปออกไปแค่บางส่วน ซึ่งที่จริงแล้วก่อนตนเองจะมีการพิมพ์ข้อความลงไปตนเองไปเห็นสตอรี่ของนักกีฬาในกลุ่มที่ตนเองดูแลอยู่แชร์ภาพการตายของเด็กในโรงเรียน จึงมีการแคปสตอรี่ดังกล่าวและสั่งให้นักเรียนลบ เพราะตนเองมองว่าการแชร์เรื่องดังกล่าวมันส่งผลเสียกับทางโรงเรียน

ยอมรับว่า ข้อความที่พิมพ์ลงไปมันก็เป็นข้อความที่รุ่นแรงและมีผลกระทบกับการตายของน้องการ์ฟิว แต่ขอยืนยันว่าตนเองไม่เคยรู้มาก่อนว่าน้องการ์ฟิวตายด้วยสาเหตุอะไร และที่ผ่านมาส่วนตัวก็ไม่เคยรู้จักกับน้องการ์ฟิวและที่ต้องพิมพ์ต่อว่านักเรียนไปในกลุ่ม มันเกิดจากอารมณ์ ที่ตนเองโมโหนักเรียนที่ตนเองดูแลอยู่เท่านั้น

ส่วนเรื่องกระแสข่าวที่ เด็กนักเรียนคุยกันในโรงเรียน หลังจากน้องการ์ฟิวเสียชีวิตว่า มีเด็กนักเรียนที่เป็นนักวอลเลย์บอลในกลุ่มของตนเองไปบูลลี่น้องการ์ฟิวเรื่องทรงผม จากการสอบถามนักกีฬาที่ตนเองดูแลอยู่ ยอมรับว่าพูดจริง แต่เป็นการพูดผ่าน ๆ ในฐานะเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันแค่ว่า ทรงผมอีนั้นอีนี่ไม่สวยแค่นั้น

ทั้งนี้ก็อยากจะขอโทษสังคมและผู้ปกครองที่เห็นแชตดังกล่าว และขอยอมรับว่าตนเองผิดจริง ๆ กับเรื่องนี้ ไม่คิดว่านักเรียนในกลุ่มไลน์จะแคปข้อความในกลุ่มออกไปแชร์ ซึ่งยืนยันว่าตนเองตั้งใจจะสื่อความหมายกับนักเรียนในความดูแลว่า เรื่องการตัดผม ไม่ใช่ความรุนแรงที่จะต้องฆ่าตัวตาย หากตัดผมเกรียนเป็นการเรียกร้องสิทธิแล้วต้องฆ่าตัวตาย เด็กก็คงจะตายกันทั้งประเทศ และการสื่อสารในกลุ่มไลน์เป็นการสอนนักเรียน ด้วยคำพูดของเด็กนักเรียนที่มีความสนิทสนมกินนอนกับครูในกลุ่มไลน์เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการตายของน้องการ์ฟิว

ในฐานะความเป็นครู ตอนนี้ตนเองได้ติดต่อกับทางผู้ปกครองของน้องการ์ฟิวไปแล้ว ยอมรับว่าสิ่งที่ทำมันผิดและพร้อมที่จะกลับไปขอขมาญาติของน้องการ์ฟิว หลังจากเสร็จภารกิจนำนักกีฬามาแข่งขันวอลเลย์บอลที่ จ.อุบลราชธานี และสำหรับการตัดผมสั้นของนักเรียน ในฐานะเป็นคุณครูมองว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อน และอยู่ที่ตัวบุคคลที่จะรับสิ่ง ๆ นั้นได้หรือไม่เท่านั้น

ขณะเดียวกันทีมข่าวสอบถาม น.ส.นงเยาว์ เรือนบุตร ครูประจำชั้นของน้องการ์ฟิว ให้ข้อมูลว่า ทางโรงเรียนไม่มีการตรวจทรงผมกับน้องช่วงก่อนเกิดเหตุเลย และไม่รู้ว่าครูคนไหนสั่งให้น้องไปตัด ซึ่งก่อนที่น้องจะลาป่วยวันที่ 17 พ.ย. ช่วงวันที่ 16 พ.ย. น้องยังมาโรงเรียนแต่เห็นว่า น้องเอาเสื้อกันหัวใส่คลุมหัวปิดบังทรงผม

มารู้ภายหลังจากเพื่อนนักเรียนว่า น้องได้ตัดผมหน้าม้าออกไปจนสั้น ซึ่งน้องบ่นกับเพื่อนว่า “เสียดายไม่น่าไปตัดมาเลย” ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าครูคนไหนสั่งให้น้องไปตัด

ด้าน คุณต่าย อรนุช ผลภิญโญ ว่าที่ผู้สมัคร สส. พรรคก้าวไกล เขตพื้นที่ภูเขียว-บ้านแท่น ซึ่งเป็นคนโพสต์เรื่องราวของน้องการ์ฟิวเป็นคนแรก เล่าว่าตนเองได้ทราบข่าวว่ามีเด็กในหมู่บ้านผูกคอฆ่าตัวตายจึงเดินทางมาร่วมงานศพ แต่พอมาทราบข่าวจากปู่ของน้องการ์ฟิวก็พบว่า สาเหตุที่น้องฆ่าตัวตายมาจากเรื่องทรงผม และการถูกครูและเพื่อนในโรงเรียนของน้องบลูลี่เรื่องทรงผมและเพศสภาพของน้อง

ทำให้ตนเองมองว่า เรื่องนี้อยู่คู่กับสังคมไทยมานานและกระทรวงศึกษาธิการควรเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มาก ๆ และมองว่า ปัจจุบันระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการนั้น มันไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบันของสังคมไทย ซึ่งระเบียนจะแบ่งแยกแค่นักเรียน 2 เพศเท่านั้น คือเพศชายและหญิง ส่วนเพศที่ 3 หรือ LGBT ยังไม่มีระเบียบครอบคลุมเรื่องนี้ ซึ่งที่ผ่านเรามักจะได้ยินข่าวว่าเด็กเพศที่ 3 เหล่านี้จะถูกบลูลี่และมีปัญหาเรื่องทรงผมจำนวนมาก ซึ่งปัญหาทรงผมนี้ก็จะนำไปสู่การถูกเพื่อนหรือคนอื่นบลูลี่ โดยอยากให้กระทรวงศึกษาธิการเห็นถึงความสำคัญและไม่ควรละเลย ซึ่งตนเองไม่อยากให้มีเด็กคนอื่นถูกบลูลลี่และต้องคิดสั้นฆ่าตัวตายเหมือนน้องการ์ฟิวอีก