อส.ยืดอกรับยิงขู่-กระทืบเด็ก 13 อ้างระงับเหตุโจ๋ไล่ตีอริ ที่แท้จับผิดตัว แม่โวยลูกเจ็บฟรี (คลิป)
จากกรณีที่ผู้ปกครองของเด็กชายกัปตัน (นามสมมติ) อายุ 13 ปี เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่าเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 65 เวลา 18.30 น. บริเวณด้านข้างที่ว่าการ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ลูกชายถูกเจ้าหน้าที่อาสาฝ่ายปกครองเข้าระงับเหตุวัยรุ่นตีกัน แล้วเข้าใจผิดคิดว่าน้องกัปตันคือหนึ่งในผู้ก่อเหตุ จึงเข้ามาระงับเหตุด้วยการใช้อาวุธปืนตีเข้าไปที่หลัง 1 ครั้ง หลังจากนั้นได้ใช้เท้าเหยียบเด็กไว้ก่อนที่จะปล่อยตัวในเวลาต่อมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โดยกล้องวงจรปิดที่ร้านค้าตรงข้ามกับที่ว่าการอำเภอวังน้อย สามารถจับภาพของวันที่ 8 พ.ย. 65 เวลา 18.05 น. จะได้ยินเสียงวัยรุ่นตีกัน หลังจากนั้นจะเห็นกลุ่มวัยรุ่นวิ่งหนีกันด้วยความชุลมุนผ่านหน้ากล้องวงจรปิด กล้องวงจรปิดจะสามารถจับภาพ นายมอสเยาวชนวัย 14 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อเหตุ เอาไว้ได้ขณะที่กำลังวิ่งไล่ตีกลุ่มคู่อริอยู่
จากนั้นเวลา 18.08 น. กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพเจ้าหน้าที่อาสาฝ่ายปกครอง ได้จับกุมตัว นายมอส เยาวชนวัย 14 ปี หนึ่งในผู้ก่อเหตุตีกันเอาไว้ได้ และได้ควบคุมตัวมานั่งที่ริมทางเท้า จากนั้นเวลา 18.08 น. เจ้าหน้าที่อาสาฝ่ายปกครองได้สั่งให้ นายมอสผู้ก่อเหตุนั้นนั่งลง โดยกล้องวงจรปิดตัวนี้สามารถจับภาพต้นเหตุที่เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่อาสาจับกุมเด็กชายกัปตันผิดตัว
เนื่องจากว่าเข้าใจผิดคิดว่าเด็กชายกัปตันเป็น 1 ในกลุ่มเพื่อนของน้องมอส ที่มาก่อเหตุตีกัน ซึ่งแท้จริงแล้วเด็กชายกัปตันเพียงแค่มาเดินเล่นใกล้เคียงที่เกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร แต่เจ้าหน้าที่อาสาเข้าใจผิดเข้าไปควบคุมตัวเด็กชายกัปตันแล้วใช้ปืนทุบหลังหลัง จากนั้นได้ใช้เท้าเหยียบให้นอนอยู่กับพื้นก่อนที่จะปล่อยตัวไป
เด็กชายกัปตัน ได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า ช่วงเย็นของวานนี้ได้ไปวิ่งเล่นบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอวังน้อย ขณะนั้นมีกลุ่มวัยรุ่นกำลังตีกัน ซึ่งตนไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแต่ไปวิ่งเล่นใกล้เคียงกับบริเวณที่เกิดเหตุ กับเพื่อนอีก 2 คน รวมเป็น 3 คน เจ้าหน้าที่อาสาเข้าใจผิดคิดว่ากัปตันเป็นหนึ่งในผู้ก่อเหตุจึงเข้ามาควบคุมตัวเพื่อระงับเหตุ
จากนั้นได้สั่งให้กัปตันนั่งคุกเข่าลงแล้วใช้อาวุธปืนทุบไปที่หลัง 1 ครั้ง จนนอนก้มหน้าลงกับพื้น แล้วจากนั้นก็ได้ใช้เท้าเหยียบทีหลังเอาไว้เพื่อเป็นการระงับเหตุ โดยกัปตันได้อธิบายกับอาสาว่า ตนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแต่มาวิ่งเล่นที่บริเวณนี้เท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่อาสาไม่เชื่อ กัปตันจึงพยายามเรียกเพื่อนที่อยู่ใกล้เคียงให้อธิบายกับเจ้าหน้าที่อาสาให้เข้าใจว่าตนไม่เกี่ยวข้อง เมื่อเพื่อนมาอธิบายเจ้าหน้าที่อาสาจึงปล่อยตัวให้กลับบ้าน เมื่อกลับบ้านจึงได้แจ้งให้ผู้ปกครองทราบว่าถูกเจ้าหน้าที่อาสาทำร้ายจนรู้สึกหวาดหลัว
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่มาอย่างที่ว่าการ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่อาสา ผู้ก่อเหตุ ได้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อวานนี้ 8 พ.ย. 65 เวลา 18.00น. ขณะนั้นตนกำลังเข้าแถวเพื่อที่จะออกตรวจเหตุวันลอยกระทง จากนั้นได้เกิดเหตุวัยรุ่นตีกันที่หน้าอำเภอวังน้อยจึงวิ่งออกไประงับเหตุ ตั้งโดยช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงหัวค่ำจึงทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ซึ่งก็ต้องระงับเหตุเพื่อไม่ให้ชุลมุนวุ่นวาย ซึ่งทางที่เป็นเยาวชนได้บอกว่าตนนั้นทำร้ายร่างกาย ซึ่งเจ้าหน้าที่อาสายืนยันว่าตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายร่างกายแต่เป็นการควบคุมตัว ซึ่งอาจจะมีการดึงบ้าง และกดบ้าง ในการควบคุมตัวเป็นเรื่องปกติของยุทธวิธีในการควบคุมตัว
ซึ่งตอนแรกน้องบอกว่า ตนนั้นใส่รองเท้าคอมแบตแล้วกระทืบตามข่าวที่ออกมา ตนขอยืนยันว่าวันนั้นตอนใส่รองเท้าแตะ ส่วนอาวุธตนนั้นก็ไม่มีเพราะหัวหน้าไม่ได้สั่งให้ติดอาวุธ ซึ่งเมื่อตนมาพูดตอนนี้ก็เข้าใจว่ากระแสข่าวยังแรงไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือฝ่ายปกครอง มักจะเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ต้องเป็นฝ่ายผิดเสมอในความคิดตน ซึ่งตนก็ไม่อยากจะแก้ตัวให้เป็นไปตามรูปคดี คู่กรณีจะดำเนินเนินการอย่างไรก็ได้ ซึ่งตนขอยืนยันว่าตนนั้นไม่ได้ทำไม่ว่าประชาชนทั่วไปหรือว่าสื่อมวลชนจะเชื่อหรือไม่เชื่อหรอกตอนนั้นไม่รู้หรอก ซึ่งตนอยากจะพูดเรื่องจริงว่าตนไม่ได้ทำแต่ต้องมายอมรับผิดก็ค่อนข้างเสียความรู้สึก เพราะตอนนี้กระแสข่าวต่าง ๆ คือเจ้าหน้าที่ต้องผิดไว้ก่อน จริง ๆ แล้วหน้างานเราไม่รู้หรอกว่าออกไปต้องเจออะไร
ทั้งออกจับยา ตรวจคาราโอเกะ ตรวจร้านอาหาร ซึ่งก็ต้องดูน่างานเป็นหลักอย่างไปจับยาถ้าเกิดโดนยิงสวนขึ้นมาพวกผมก็ตาย ถ้าเจ้าหน้าที่ไปยิงเขาก่อนก็ผิด ซึ่งตนก็ยอมรับว่าเบื่อแต่ก็ต้องทำเพราะว่าเป็นหน้าที่เราอยากเห็นบ้านเมืองเราดีขึ้น อย่างที่วังน้อยไปจับยาบ้าเจอเม็ดละ 10 บาท ไปจับมาล่าสุด พันกว่าเม็ด ผู้มีอำนาจทำอะไรกันอยู่มองเห็นคนที่ทำงานหน้างานตัวเล็ก ๆ อย่างพวกผมบ้างหรือเปล่า ซึ่งคดีจะออกมาแบบไหนตนจะติดคุกหรือไม่ติดคุกอันนี้ขอยอมรับสภาพ เพราะตนรู้ว่าเจ้าหน้าที่ทุกวันนี้ทำอะไรก็ผิดทำอะไรก็ไม่ถูก สื่อมวลชนก็เหมือนกันบางครั้งการให้ข่าวอย่าฟังความฝ่ายเดียว อย่างในเรื่องของตนขอยืนยันคำเดิมว่าทำตามหน้าที่ ประกอบกับตอนนั้นเป็นช่วงมืดแล้ว ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร แต่ตอนนั้นตนก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นอายุเท่าไหร่ ตนก็ต้องควบคุมสถานการณ์เอาไว้ก่อน เมื่อผลออกมาแบบนี้ตนก็ยอมรับสภาพเมื่อพูดออกไปก็เหมือนกับการแก้ตัว ก็ขอปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
โดยหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางฝั่งเจ้าหน้าที่อาสาและครอบครัวของน้องกัปตันได้มีการพูดคุยกัน ณ ที่ว่าการอำเภอวังน้อย ซึ่งตัวเจ้าหน้าที่อาสาได้ขอโทษพ่อและแม่ของน้องกัปตันไปแล้ว เข้าใจว่าอารมณ์ของพ่อและแม่ของน้องยังแรงอยู่อาจจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนพูด ก็ไม่เป็นไรแต่ถ้ามีโอกาสเจออีก ตนก็จะขอโทษอีก ซึ่งตนก็ได้กราบขอโทษพ่อแม่ของน้องไปหลายรอบ พูดตรง ๆ ตนไม่ผิดแต่ต้องมายอมรับผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำก็อยากให้เข้าใจการทำงานของพวกตน ที่เป็นอาสาตัวเล็ก ๆ วันนี้ก็ต้องยอมรับสภาพตัวเอง
Advertisement
