วันที่ 15 มิ.ย.65 เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก อดีต ร.ต.อ.ทรงกลด บุญส่ง หรือ ผู้กองบอย จำเลยในคดีฆ่าภรรยาตัวเอง พร้อมทนาย ได้เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาคดีฆ่าผู้อื่นฯ ในความผิดฐาน หมายเลขดำ อ.2325/2563 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง ร.ต.อ.ทรงกลด บุญส่ง หรือ ผู้กองบอย อายุ 31 ปี อดีตรอง สว.สส.สน.วังทองหลาง เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ
สำหรับคดีนี้อัยการโจทก์ระบุว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 63 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้มีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืนพกสั้น ขนาด .45 หมายเลขทะเบียน กท. 54289016 ซึ่งเป็นอาวุธปืนของจำเลย จ่อกดไปที่ศีรษะของ น.ส.พิมชฎาพร ภูแย้มใสย์ หรือน้องปูนิ่ม อายุ 30 ปี ภรรยาซึ่งไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เพื่อข่มขู่ โดยจำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าหากกระสุนปืนลั่นออกมาจะทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ จึงเป็นเหตุให้มือของผู้ตายไปถูกอาวุธปืนดังกล่าว และทำให้อาวุธปืนลั่นออกมา 1 นัด กระสุนปืนถูกที่ศีรษะของ น.ส.พิมชฎาพร จนถึงแก่ความตาย
เหตุเกิดภายในทาวน์เฮาส์ ในหมู่บ้านเสนาวิลล่า ถนนแฮปปี้แลนด์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ขอให้ลงโทษจำเลยความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัว โดยศาลตีราคาประกัน 5 แสนบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงเวลาศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานคู่ความเเล้วเห็นว่าว่าจำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ข้อหาฆ่าผู้อื่นฯ ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 20 ปี ชดใช้ค่าเสียหาย 720,000 บาท ส่วนอาวุธปืนของกลางให้ริบ
นายนิติศักด์ มีขวด ทนายความของผู้กองบอย ระบุว่า จนถึงวันนี้ผู้กองบอยยังยืนยันถึงความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้ตั้งใจเจตนาจะฆ่าภรรยา เพราะว่ารัก และอยู่ด้วยกันมาจนมีลูกด้วยกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นอุบัติเหตุเหตุสุดวิสัย เราก็หวังว่าจะได้รับความยุติธรรม และวันนี้ศาลจะพิพากษาตัดสินอย่างไร ก็พร้อมน้อมรับ
ร.ต.อ.ทรงกลด หรือ ผู้กองบอย กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนก็พยายามเลี้ยงดูลูก วันนี้ก็ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง เพื่อออกมาดูแลลูก เห็นหน้าลูก ส่วนศาลจะพิพากษายังไงก็ไม่ทราบเพราะขึ้นอยู่กับศาล แต่ว่าสิ่งที่ตนได้พูดไปเป็นความจริงทั้งหมด
เบื้องต้น จากคำให้การของผู้กองบอย เป็นไปได้ว่าน้องปูนิ่มปลิดชีวิตตนเอง แต่ญาติไม่ปักใจเชื่อ โดยลูกพี่ลูกน้อง ให้ความเห็นว่า ผู้ตายมีลูกอายุ 4 ขวบ กับสามีนายตำรวจ และบ้านที่เกิดเหตุเพิ่งซื้อได้ 2 เดือน แต่มีปัญหาทะเลาะถึงขั้นทำร้ายร่างกายมาตลอด หนักสุดถูกสามีเอาปืนจ่อหัวทำร้ายจนสลบ แต่ไม่ยอมเลิก เพราะสงสารลูก
โดยปมปริศนาการตาย ทำให้ญาติพยายามเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะผู้ตายถนัดมือขวา แต่สภาพศพที่เกิดเหตุ พบร่องรอยการยิงด้วยมือซ้าย และหลังจากเกิดเหตุผู้กองบอย ผู้เป็นสามี ได้เรียกเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานมาตรวจสอบ ก่อนจะเรียกมูลนิธิมาเก็บศพ ซึ่งมีการนำผ้าห่มมาห่อร่างบนโซฟา แล้วให้ยกไปที่โรงพักทันที
ระหว่างการสอบสวน พล.ต.ต.ธีระพงษ์ วงษ์รัฐพิทักษ์ ผบก.น.4 ในขณะนั้น สอบถามผู้กองบอยจนรับสารภาพว่า ภรรยาไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่สาเหตุมาจากการทะเลาะกัน เนื่องจากมีภรรยาอยู่แล้ว ก่อนมาคบกับผู้ตาย และมีลูกด้วยกันอายุ 4 ขวบ แต่ไม่สามารถตัดสัมพันธ์จากภรรยาคนแรกได้
วันเกิดเหตุ ผู้กองบอยหลังออกจากเวรได้นั่งดื่มสุราอยู่ชั้นล่างของบ้าน ก่อนฝ่ายหญิงเข้ามามีปากเสียง แยกขึ้นไปนอนชั้นบน และได้ตามไปง้อ จนฝ่ายหญิงหนีลงมาชั้นล่าง ทำให้ผู้กองบอยโมโห หยิบปืนขึ้นมาคิดว่าปืนไม่มีลูก กระทั่งเกิดการยื้อแย่ง ทำให้ปืนลั่นใส่ฝ่ายหญิงจนเสียชีวิต
จากการสืบสวนเชิงลึกพบเขม่าปืนบริเวณมือขวาของผู้กองบอยและผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจประเมินว่าเป็นไปได้ยากที่ผู้ตายจะยิงตัวเอง เนื่องจากวิถีกระสุนเข้าที่ขมับซ้าย เฉียงในลักษณะ 85 องศา ทั้งที่น้องปูนิ่มถนัดมือขวา
ขณะเดียวกันทีมข่าวพูดคุยกับนายก้องเกียรติ (นามสมมติ) ลูกชายของพยาน บอกวว่า พ่อของตนเป็นพยานในคดี เพราะเป็นคนเดียวในบ้านที่ได้ยินเสียงปืน เนื่องจากวันเกิดเหตุ ตนไม่ได้อยู่บ้าน ส่วนแม่ก็ไปต่างจังหวัดทางภาคเหนือ ตนก็ทราบจากข่าว แต่ก็ไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มจากพ่อ ในส่วนของพ่อก็ไม่ได้เล่าเหตุการณ์อะไรให้ตนฟัง และเห็นแค่ว่าพ่อไปสอบปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น
ล่าสุด นายศุภชัย พ่อของตน เสียชีวิตเมื่อ 2 อาทิตย์ที่เล้ว จากเดินที่พ่อเคยรดน้ำต้นไม้ให้ ก็กลายเป็นตนที่คอยรดน้ำและเป็นหูเป็นตาให้ ส่วนทางครอบครัวของผู้กองบอย ตนไม่ทราบว่าย้ายไปอยู่กันที่ไหน ตนก็ไม่ได้สอบถามอะไรลึก ๆ เจอหน้าก็ทักทายกันตามปกติ และตนก็เคยคุยแต่กับพ่อของผู้กองบอย ซึ่งเป็นคนอัธยาศัยดี จะเห็นแวะมาดูบ้าน บางทีก็มาพร้อมหลาน วันนี้ตอนเช้าก่อนตนไปทำงานก็เห็นแวะมา แต่ไม่ทราบว่าวันนี้มีการนัดฟังคำพิพากษา
นางทองใส ภูคงน้ำ แม่ผู้ตาย บอกว่า ผู้ตายเคยโทรศัพท์บอกว่ามีปัญหาในครอบครัว จำเลยไปคบหากับหญิงอื่น และมีพี่เลี้ยงบุตรของผู้ตายโทรศัพท์บอกว่าผู้ตายกับจำเลยมีปัญหาทะเลาะตบตีกันเป็นประจำ จากการสอบถามจำเลยทราบว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุตร ผู้ตายจะพาบุตรกลับบ้าน แต่จำเลยไม่ยินยอม
ทั้งนี้ ตนรู้สึกพอใจคำพิพากษาซึ่งศาลตัดสินจำคุก 20 ปี และค่าชดเชยที่ศาลให้รวม 7.2 แสนบาท สำหรับผู้กองบอย ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรบางครั้งก็ให้อภัย แต่บางครั้งก็ยังโกรธอยู่ที่มาทำกับลูกสาว แต่หลังเกิดเหตุก็มาช่วยเหลือเรื่องเงินค่าทำศพอยู่บ้าง ขณะที่หลานสาวนั้น อยู่กับแม่เลี้ยงของผู้กองบอย รับไปดูแลอยู่ แต่ตนได้บอกไปแล้วว่าหากมีปัญหาให้เอามาให้ตนเลี้ยง เพราะจริง ๆ ก็อยากจะเอามาเลี้ยงดูเองเช่นกัน
Advertisement