ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ เช่น ผึ้งพันธุ์ ผึ้งโพรง ชันโรง จิ้งหรีด และครั่ง ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญ ทั้งด้านเศรษฐกิจการเกษตร และสิ่งแวดล้อม รวมถึงสามารถแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และมีแนวโน้มเติบโตในตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง และยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อผึ้งและแมลงช่วยผสมเกสร ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศ และความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์
ดร.ณมาณิตา กลับบ้านเกาะ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการเปิดกิจกรรมวันผึ้งโลก ภายใต้กิจกรรมเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิตการตลาดแมลงเศรษฐกิจและประชาสัมพันธ์สินค้าแมลงเศรษฐกิจ ณ จริงใจ มาร์เก็ต จังหวัดเชียงใหม่ ว่าการตอกย้ำบทบาท "นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม" สู่โลกการเกษตรอย่างยั่งยืน ที่ปัจจุบันความมั่นคงทางอาหารทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใช้แมลงผสมเกสร เช่น ผึ้ง ช่วยเพิ่มผลผลิตพืชไร่และผลไม้หลากหลายชนิดได้อย่างมีนัยสำคัญ
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวคิดในการส่งเสริมการเลี้ยงแมลงผสมเกสร ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคเกษตรกรรมของไทยและโลก การส่งเสริมการเกษตรในปัจจุบัน จึงให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเกษตรกรให้เลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ เช่น ผึ้ง เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำเกษตรแบบยั่งยืน และส่งเสริมการเลี้ยงให้ได้รับมาตรฐาน GAP
การเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนจึงต้องเข้าใจปัญหา และเข้าใจวงจรชีวิตของแมลงอย่างแท้จริง กิจกรรมสำคัญภายในงานกิจกรรมหนึ่งคือ การเสวนา การรับมือเท่าทันภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อการเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ จากผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงเศรษฐกิจ ด้านการรับมือการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ได้ข้อสรุปที่สำคัญ ดังนี้
ภูมิอากาศป่วน วงจรชีวิตผึ้งสะเทือน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมและการอยู่รอดของผึ้ง อุณหภูมิสูงกว่าปกติทำให้รังร้อนเกิน 35 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจทำให้ผึ้งต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการระบายความร้อน ส่งผลให้หาอาหารได้น้อยลง รวมถึงภาวะฤดูกาลเลื่อนจากโลกร้อน ทำให้เวลาการออกดอกของพืชไม่ตรงกับช่วงผึ้งออกหาน้ำหวาน ส่งผลต่อการผสมเกสรและลดปริมาณน้ำผึ้ง ขณะเดียวกัน ความเครียดจากสภาพอากาศยังทำให้ผึ้งอ่อนแอ ติดโรคง่าย และไวต่อพาหะนำโรค ผลรวมของปัจจัยเหล่านี้กำลังคุกคามความอยู่รอดของผึ้ง แมลงเศรษฐกิจสำคัญที่มีบทบาทต่อระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหารของมนุษย์ ส่งผลความสามารถหาอาหารของผึ้ง ลดความสามารถในการผสมเกสร
ผึ้งยุคโลกร้อน : ความท้าทายของเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม
ความท้าทายที่สุดของเกษตรกร คือ ต้นทุนการจัดการที่สูงขึ้น ทางออกคือ เกษตรกรต้องลงทุนในวิธีเลี้ยงผึ้งที่ปลอดภัย เช่น การติดตั้งรังผึ้งในพื้นที่ควบคุมอุณหภูมิ การใช้เซ็นเซอร์ตรวจสภาพรัง หรือการเคลื่อนย้ายรังตามฤดูกาล ไปยนหาอาหารแหล่งใหม่ให้กับผึ้ง รวมถึงความเสี่ยงจากโรคและศัตรูผึ้ง อากาศแปรปรวนทำให้แมลงพาหะและโรคผึ้งระบาดบ่อยขึ้น เกษตรกรต้องใช้ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อควบคุมโดยไม่ทำลายระบบนิเวศ นอกจากนี้การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งผึ้งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของระบบนิเวศ หากผึ้งลดลงจะกระทบต่อการผสมเกสรของพืชป่า ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงและระบบนิเวศเสียสมดุล เมื่อผลผลิตพืชลดลง อาจกระทบต่อปริมาณและคุณภาพอาหารในตลาด ซึ่งเชื่อมโยงถึงผู้บริโภคและเศรษฐกิจโดยรวม
เกษตรแม่นยำปกป้องผึ้ง : เมื่อเทคโนโลยีจับมือสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้เกษตรกรมีองค์ความรู้เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture)
ใช้ข้อมูลสภาพอากาศ เพื่อวางแผนปลูกพืชและจัดรอบการปล่อยผึ้งผสมเกสรให้สอดคล้องกับช่วงออกดอกของพืชมากที่สุด ใช้การตรวจวัดอุณหภูมิ ความชื้น และปริมาณผึ้ง พร้อมส่งข้อมูลผ่านระบบ IoT และแอปพลิเคชัน แจ้งเตือนเมื่อสภาพรังเสี่ยงต่อความร้อนสูงหรือความชื้นไม่เหมาะสม รวมถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศการเกษตร โดยเชื่อมความร่วมมือระหว่าง ผู้วิจัย และหน่วยงานรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลโรคผึ้ง ผลผลิต และสภาพอากาศ ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำและลดความสูญเสีย การผลิตที่ควบคู่กับการฟื้นฟูระบบนิเวศการเกษตร โดยเชื่อมความร่วมมือระหว่าง ภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเกษตร เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลผลผลิต และสภาพอากาศ ช่วยให้การตัดสินใจแม่นยำและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ส่งเสริมการเข้าสู่ระบบมาตรฐาน GAP รวมถึงการจัดทำฐานข้อมูลผู้เลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ โดยสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ เปิดรับขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ 1. มาแจ้งด้วยตนเอง ณ สถานที่รับขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ได้แก่ ศูนย์บริการเกษตรพิรุณราช ณ สำนักงานเกษตรอำเภอ (ตามที่ตั้งแปลง) หรือจุดนัดหมายที่สำนักงานเกษตรอำเภอกำหนด 2. แจ้งขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้ด้วยตนเองผ่าน e-Form ทบก. (https://efarmer.doae.go.th) และ 3. Farmbook Application (สำหรับเกษตรกรรายเดิม แปลงเดิม)
Advertisement