ในกลุ่มสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงของไทย “กุ้งขาวแวนนาไม” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “กุ้งขาว” ถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ไม่อาจมองข้าม ด้วยคุณสมบัติเด่น เช่น การเจริญเติบโตรวดเร็ว มีความทนทานต่อโรค และสามารถเลี้ยงในความหนาแน่นสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเหตุนี้กุ้งขาวแวนนาไมจึงกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั่วประเทศ และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรมทางน้ำอย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นของ “กุ้งขาวแวนนาไม”
โตเร็วและใช้เวลาการเลี้ยงสั้น – โดยเฉลี่ยใช้เวลาประมาณ 3–4 เดือนก็สามารถจับขายได้
ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี – กุ้งขาวสามารถอยู่ในช่วงความเค็มของน้ำได้กว้าง ตั้งแต่น้ำจืดเจือเค็มไปจนถึงน้ำทะเล
ความต้องการตลาดสูง – เป็นที่ต้องการทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
เลี้ยงได้ในระบบปิด – สามารถเลี้ยงในบ่อดินหรือบ่อซีเมนต์ได้ จึงเหมาะกับการพัฒนาเข้าสู่ระบบฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm)
การเลี้ยงกุ้งขาวในไทย
ประเทศไทยเริ่มนำเข้าพันธุ์กุ้งแวนนาไมเพื่อทดลองเลี้ยงในช่วงปลายทศวรรษ 2540 และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีการเลี้ยงกุ้งขาวทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคใต้ เช่น สมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี ชุมพร และสงขลา
รูปแบบการเลี้ยงกุ้งขาวในไทยมีความหลากหลาย ตั้งแต่ระบบพื้นฐานแบบพึ่งพาธรรมชาติ ไปจนถึงระบบเข้มข้นแบบ Biofloc และระบบปิดที่ควบคุมคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันโรคและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาช่วยในกระบวนการเลี้ยง
รูปแบบการเลี้ยงมักแบ่งออกเป็น 2 ระบบหลัก
- ระบบเปิด (บ่อดินธรรมดา)
- ระบบปิด หรือ ระบบความหนาแน่นสูง ที่มีการควบคุมคุณภาพน้ำและอาหารอย่างใกล้ชิด
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
กุ้งขาวแวนนาไมเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของไทย โดยสร้างรายได้หลายหมื่นล้านบาทต่อปี และยังช่วยสร้างอาชีพให้กับประชาชนจำนวนมาก ทั้งในภาคการผลิต อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และการส่งออก
กุ้งขาวแวนนาไมไม่เพียงเป็นสัตว์เศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของโอกาสในภาคการเกษตรยุคใหม่ที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ เพื่อขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืน
Advertisement