
หยุดอ้างว่าเล่นๆ พฤติกรรมแบบไหนเข้าข่ายคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) ทั้งคำพูด การกระทำ และคอมเมนต์ ที่คนไทยชอบเผลอทำ แต่จริงๆ คือการคุกคามทางเพศ!
การคุกคามทางเพศ (Sexual Harassment) ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การสัมผัสทางกายหรือการล่วงละเมิดในที่ลับตาอีกต่อไป แต่ได้วิวัฒนาการไปสู่รูปแบบที่มีความซับซ้อน และขยายขอบเขตเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มตัว ซึ่งตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา พฤติกรรมเหล่านี้มักถูกลดทอนความสำคัญด้วยมายาคติทางวัฒนธรรมที่มองว่าการหยอกล้อเรื่องเพศเป็นเรื่องปกติ แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางกฎหมาย โดยเฉพาะการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2568 (ฉบับที่ 30) ซึ่งเพิ่งเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นหมุดหมายอันดี ในการสร้างบรรทัดฐานใหม่ที่มุ่งเน้นการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิในเนื้อตัวร่างกายอย่างครอบคลุมทุกเพศสภาพ
1. พฤติกรรมคุกคามทางวาจาและภาษา
การคุกคามทางวาจา (Verbal Harassment) เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดและมักถูกเพิกเฉยมากที่สุด เนื่องจากผู้กระทำมักอ้างว่าเป็นการ หยอกเล่น หยอกล้อ หรือ พูดขำๆ ซึ่งพฤติกรรมที่เข้าข่ายคุกคามทางเพศทางวาจามีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงและสร้างความอึดอัดใจอย่างยิ่งต่อผู้รับสาร
2. พฤติกรรมทางสายตาและอากัปกิริยา
การคุกคามรูปแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีการเอ่ยปากหรือแตะเนื้อต้องตัว แต่ใช้อากัปกิริยาที่ส่อความหมายทางเพศเพื่อกดดันหรือสร้างความอึดอัดให้แก่เหยื่อ เช่น
พฤติกรรมทางกายเหล่านี้มักมีเส้นแบ่งบางๆ ในสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับการเล่นหัวหรือความเอ็นดู แต่ภายใต้มาตรฐานกฎหมายใหม่ หากผู้ถูกกระทำไม่ยินยอม พฤติกรรมนั้นย่อมถือเป็นการคุกคามทันที
3. พฤติกรรมทางออนไลน์และคอมเมนต์
เมื่อโลกออนไลน์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ กลายเป็นสมรภูมิการคุกคามยุคใหม่ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี การคุกคามทางเพศได้ย้ายฐานเข้าสู่สื่อสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก , เอ็กซ์ (ทวิตเตอร์), อินสตาแกรม , ติ๊กต๊อก ซึ่งผู้กระทำมักใช้ความไร้ตัวตนในการกลั่นแกล้งและคุกคามผู้อื่น เช่น
จุดอ่อนสำคัญของกฎหมายไทยในอดีตคือ การคุกคามทางเพศที่ไม่ถึงขั้นแตะเนื้อต้องตัว มักจะถูกดำเนินคดีเพียงในฐานความผิดลหุโทษ ตามมาตรา 397 ซึ่งมีโทษปรับเพียงเล็กน้อย ไม่เกิน 5,000 บาท การแก้ไขกฎหมายในปี 2568 (ฉบับที่ 30) จึงเป็นการปิดช่องว่างดังกล่าว และยกระดับความผิดฐานคุกคามทางเพศ เป็นความผิดทางอาญาโดยตรงครั้งแรก โดยขยายนิยามให้ครอบคลุมพฤติกรรมที่หลากหลายขึ้น ดังนี้
การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ ได้เพิ่มบทนิยามและบทลงโทษ เรื่องการคุกคามทางเพศให้ชัดเจนและครอบคลุมโลกยุคปัจจุบันมากขึ้น ดังนี้
มาตรา 3 ให้ยกเลิกความใน (18) ของมาตรา 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 27) พ.ศ.2562 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
(18) “กระทำชำเรา” หมายความว่า กระทำเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำล่วงล้ำอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้อวัยวะอื่นของผู้กระทำหรือวัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น หรือการให้ผู้อื่นกระทำกับผู้กระทำในลักษณะเดียวกัน แต่การให้ผู้อื่นกระทำการดังกล่าวนั้นไม่รวมถึงกรณีที่ผู้อื่นใช้อวัยวะอื่น หรือวัตถุล่วงล้ำอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้กระทำ ทั้งนี้ อวัยวะเพศให้หมายความรวมถึงอวัยวะเพศจากการผ่าตัด
มาตรา 4 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (19) ของมาตรา 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
(19) “คุกคามทางเพศ” หมายความว่า กระทำโดยทางการ วาจา การส่งเสียง การแสดงอากัปกิริยาหรือท่าทาง การติดต่อสื่อสาร การเฝ้าดู การติดตามรังควาน หรือกระทำด้วยประการใดๆ รวมถึงกระทำด้วยระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคม หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นที่สามารถแสดงผลให้เข้าใจความหมายได้ ต่อผู้อื่น อันมีลักษณะส่อไปในทางเพศ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเดือดร้อนรำคาญ อับอาย ถูกเหยียดหยาม หวาดกลัว หรือได้รับความไม่ปลอดภัยในทางเพศ
บทลงโทษกรณีทั่วไป จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บทลงโทษกรณีทำซ้ำ/ต่อเนื่อง หากทำจนผู้ถูกกระทำไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ โทษจะสูงขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท
ในที่สาธารณะหรือออนไลน์ หากทำต่อหน้าธารกำนัลหรือผ่านสื่อออนไลน์ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท
กระทำต่อเด็ก (อายุไม่เกิน 15 ปี) โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท
ใช้อำนาจเหนือกว่า (นายจ้าง/ผู้บังคับบัญชา) หากใช้ตำแหน่งหน้าที่คุกคามลูกน้อง โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท
การเก็บหลักฐานดิจิทัล (Cyber Evidence)
การบันทึกเหตุการณ์ทางกายภาพ
การคุกคามทางเพศเป็นพฤติกรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในโครงสร้างอำนาจที่เหลื่อมล้ำของสังคมไทย แม้การปฏิรูปกฎหมายปี 2568 จะเป็นการยกระดับการคุ้มครองอย่างมีนัยสำคัญ แต่ท้ายที่สุดแล้ว พฤติกรรมคุกคามทางเพศจะลดลงได้ก็ต่อเมื่อคนในสังคมตระหนักว่า สิทธิในเนื้อตัวร่างกาย เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่อาจละเมิดได้ และความเคารพในศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์คือรากฐานสำคัญของสังคมที่เจริญแล้ว
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา
Advertisement