ไขคำตอบ ทำไม สิงโต เลือกโจมตีเหยื่อจากทางด้านหลังเสมอ วิธีเอาตัวรอดเมื่อเผชิญหน้านักล่า ห้ามวิ่ง ห้ามหันหลังให้มัน
หากมองเผินๆ ภาพที่เราคุ้นเคยจากสารคดีสัตว์ป่าอาจทำให้เชื่อว่า สิงโต คือราชาแห่งทุ่งสะวันนา ผู้มีพละกำลังมหาศาลจนสัตว์ทุกชนิดต้องหวาดกลัว ทว่าความจริงกลับตรงข้ามอยู่ไม่น้อย การล่าในธรรมชาติไม่เคยง่ายดาย สิงโตเองล้มเหลวมากกว่าครึ่งในทุกครั้งที่พยายามล่า
การอยู่รอดจึงไม่ใช่เรื่องของความแข็งแรงล้วนๆ หากแต่เป็นเรื่องของกลยุทธ์ ความอดทน และการทำงานเป็นทีม สิ่งที่นักวิจัยพบและผู้สังเกตการณ์ยืนยันตรงกันก็คือ สิงโตมักเลือกโจมตีเหยื่อจากด้านหลังหรือด้านข้าง ไม่ใช่พุ่งชนตรงหน้า และยังมีบทบาทที่ต่างกันระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย ซึ่งหากไม่ทำความเข้าใจให้ลึกพอ เราอาจเผลอเข้าใจผิดว่าสิงโตจ่าฝูงคือผู้เปิดศึกทุกครั้ง ทั้งที่แท้จริงแล้วการล่าเป็นเรื่องซับซ้อนกว่านั้น
ธรรมชาติสร้างสัตว์กินพืชให้มีจุดแข็งของมันเอง กวางหรือม้าลายมีดวงตาอยู่ด้านข้างศีรษะ มองเห็นได้กว้างกว่า 270 องศา ทำให้ตรวจจับผู้ล่าได้เร็วกว่ามนุษย์มาก ควายป่าหรือยีราฟมีอาวุธเป็นเขา กีบ หรือขาหลังที่ทรงพลังจนสามารถคร่าชีวิตสิงโตได้ในเพียงการเตะหรือขวิดครั้งเดียว งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าอัตราการบาดเจ็บจากการล่าในสิงโตสูงกว่าสัตว์นักล่าหลายชนิด การวิ่งเข้าซัดเหยื่อจากด้านหน้าเท่ากับเสี่ยงรับแรงปะทะเต็มๆ สิ่งนี้ทำให้สิงโตเรียนรู้และถ่ายทอดพฤติกรรมมาหลายชั่วรุ่นว่า “ด้านหลัง” และ “ด้านข้าง” คือมุมที่ปลอดภัยและได้เปรียบที่สุด
การล่าเริ่มจากการเลือกเป้าหมาย สิงโตไม่พุ่งเข้าหาเหยื่อสุ่มสี่สุ่มห้า แต่จะเลือกตัวที่อ่อนแอ อายุน้อยเกินไปหรือแก่เกินไป หรือหลุดออกจากฝูง เมื่อเจอเป้าหมาย กลยุทธ์ที่ตามมาคือการแบ่งบทบาท บางตัวจะใช้วิธีเล็ดลอดเข้าใกล้ในพุ่มหญ้า อีกบางตัวทำหน้าที่ไล่ต้อนให้เหยื่อแตกฝูงหรือวิ่งเข้ามาในทิศทางที่ต้องการ เมื่อเหยื่อเสียจังหวะและแยกออกจากกลุ่มแล้ว ตัวที่ซ่อนรอจะเป็นฝ่ายกระโจนเข้าจากด้านข้างหรือด้านหลัง เพื่อลดโอกาสที่เหยื่อใช้เขาหรือกีบตอบโต้ได้สำเร็จ
หากสังเกตใกล้ชิด จะพบว่า สิงโตตัวเมีย คือผู้เล่นหลักในแทบทุกขั้นตอนของการล่า ด้วยร่างกายที่เล็กกว่า คล่องแคล่วกว่า และทำงานร่วมกันได้ดีกว่า ต่างจากตัวผู้ที่มีหน้าที่หลักในการปกป้องฝูงและรักษาอาณาเขต ตัวผู้แม้จะมีพละกำลังมหาศาล แต่เคลื่อนไหวเชื่องช้าและไม่ถนัดการซุ่มโจมตีเท่าตัวเมีย
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเจอกับเหยื่อขนาดใหญ่อย่าง ควายป่า ยีราฟ หรือฮิปโป การเข้าร่วมของตัวผู้กลับกลายเป็นปัจจัยตัดสินผลลัพธ์ เพราะน้ำหนักตัวและแรงกัดของมันสามารถช่วยกดให้เหยื่อล้มเร็วขึ้น ลดระยะเวลาที่ต้องเสี่ยงต่อการถูกตอบโต้
ตรงนี้เองที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ผู้ชมสารคดีหรือคนทั่วไปว่า “สิงโตจ่าฝูงเปิดก่อนเสมอ” เพราะหลายครั้งที่เหยื่อขนาดใหญ่อยู่ในภาพหลักของกล้องบันทึก เรามักเห็นตัวผู้เป็นผู้กระโจนเข้าใส่ จนเหมือนกับว่าเป็นผู้นำการล่า แต่ความเป็นจริงแล้ว หากเป็นเหยื่อขนาดกลางหรือเล็ก เช่น ม้าลาย อิมพาลา หรือ วิลเดอบีสต์ มักเป็นตัวเมียที่ดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวผู้จะมาร่วมโต๊ะอาหารตอนสุดท้าย หรือในบางครั้งอาจไม่เข้าร่วมเลย
กลยุทธ์ที่ทำให้การล่าสำเร็จคือ “การล็อกคอ” สิงโตมักเล็งไปที่ลำคอหรือจมูกของเหยื่อ เมื่อล็อกได้แล้วจะใช้แรงกัดและน้ำหนักตัวกดทับจนเหยื่อหายใจไม่ออก การโจมตีจากด้านหลังจึงมีข้อได้เปรียบ เพราะจากตำแหน่งนั้นสามารถกระโจนขึ้นหลังแล้วเลื่อนฟันไปสู่คอได้อย่างแม่นยำ ในขณะที่ถ้าเข้าทางด้านหน้า จะเสี่ยงถูกเขาแทงหรือกีบกระแทกเสียก่อน
นักชีววิทยา George Schaller ซึ่งศึกษาและตีพิมพ์งานคลาสสิก The Serengeti Lion (1972) ระบุชัดว่าสิงโตมีอัตราความสำเร็จในการล่าเพียง 20–30% เท่านั้น เหตุผลที่พวกมันยังคงยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารไม่ใช่เพราะพลังที่เหนือใคร แต่เป็นเพราะความสามารถในการปรับตัวและร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ
การโจมตีจากด้านหลังจึงไม่ใช่เรื่องของ “ความขี้ขลาด” แต่คือผลลัพธ์ของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ที่สิงโตซึ่งกล้าเสี่ยงเข้าด้านหน้าแล้วบาดเจ็บ มักตายไปและไม่สามารถถ่ายทอดยีนสู่รุ่นถัดไปได้
น่าสนใจว่าแม้สิงโตจะถูกขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งสัตว์ป่า” แต่พวกมันก็ไม่ใช่นักล่าที่เก่งกาจที่สุดในเชิงอัตราความสำเร็จ เสือชีตาห์มีความเร็วสูงสุด ทำให้ตามล่าได้ผลกว่าหากจับได้ ส่วนเสือดาวแม้ล่าเดี่ยวแต่มีความลับลี้ซ่อนตัวเก่งจนมักไม่ล้มเหลวเท่าไหร่
สิงโตกลับเป็นสัตว์ที่ต้องพึ่งพาการทำงานเป็นทีมและการใช้ยุทธวิธีอย่างมาก การเลือกโจมตีจากด้านหลังจึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ธรรมชาติบังคับให้ใช้เพื่อชดเชยข้อจำกัดด้านความคล่องแคล่ว
ในเชิงพฤติกรรมสัตว์ นักชีววิทยาพบว่าการล่าของสิงโตและแมวใหญ่ทุกชนิดมักอาศัย “จังหวะ” และ “ช่องโหว่” ของเหยื่อ การหันหลังมีความหมายหลายอย่างที่อันตรายสำหรับมนุษย์ หรือสัตว์อื่นที่เผชิญหน้ากับมัน
1. กระตุ้นสัญชาตญาณนักล่า
เมื่อสิ่งมีชีวิตหันหลัง วิ่งหนี หรือแสดงท่าทีหวาดกลัว นั่นจะไปกระตุ้นสัญชาตญาณการไล่ล่าของสิงโตทันที เพราะในธรรมชาติ “สิ่งที่วิ่งหนี” มักเป็นเหยื่อ
2. เสียสายตาควบคุมสถานการณ์
การหันหลังทำให้เราไม่เห็นท่าทีของสิงโตว่ามันกำลังจะพุ่งเข้ามาเมื่อไร สิงโตเป็นสัตว์ที่วิ่งระยะสั้นได้เร็วมาก (ประมาณ 60 กม./ชม.) การหันหลังจึงลดโอกาสตอบสนองจนแทบเป็นศูนย์
3. เปิดจุดอ่อนให้โจมตี
สิงโตเองก็มักเล็งโจมตีจากด้านหลังหรือด้านข้าง เพราะปลอดภัยจากเขาและกีบของเหยื่อ หากมนุษย์หันหลัง ก็ยิ่งทำให้มันเข้ามาโจมตีได้ง่ายโดยไม่ต้องเสี่ยงรับแรงป้องกันใดๆ
4. ขัดกับหลักการเอาตัวรอด
แนวทางความปลอดภัยในเขตสัตว์ป่าหรือสวนสัตว์เปิดจะแนะนำเสมอว่า หากต้องเผชิญหน้ากับสัตว์นักล่า ควร “หันหน้าเข้าหา เดินถอยช้าๆ” มากกว่าจะวิ่งหรือหันหลังให้ เพราะการรักษาสายตาและระยะห่างช่วยลดโอกาสที่สัตว์จะมองว่าเราเป็นเหยื่อที่ต้องไล่
Advertisement