
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คืออะไร สาเหตุ อาการ สัญญาณเตือนที่ควรรู้ ก่อนอาการจะรุนแรงถึงขั้นหยุดหายใจ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจดูเหมือนเรื่องไกลตัวของคนทั่วไป แต่สำหรับแพทย์แล้ว นี่คือหนึ่งในเหตุฉุกเฉินที่พบได้บ่อย และอาจรุนแรงจนคาดไม่ถึง เพราะอาการมักเริ่มต้นเพียงแค่ “มือสั่น ใจสั่น เหงื่อออก” เหมือนไม่ได้เป็นอะไรใหญ่โต แต่สามารถลุกลามไปจนถึงขั้นชัก หมดสติ หรือแม้กระทั่งหยุดหายใจได้จริงในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ความอันตรายของภาวะนี้ไม่ได้อยู่แค่ตัวโรค แต่อยู่ที่ความเร็วในการดำเนินอาการ และการที่หลายคนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังอยู่ในภาวะอันตราย จนกว่าจะเกิดเหตุรุนแรงขึ้นก่อน ทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นสาเหตุที่แพทย์มักพบว่าผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป ทั้งที่สามารถป้องกันและรับมือได้ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณแรกเริ่ม หากเข้าใจความเสี่ยง กลไกของร่างกาย และวิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คือ ภาวะที่ระดับกลูโคสในเลือดลดลงต่ำกว่า 70 mg/dL ซึ่งถือเป็นระดับที่สมองเริ่มขาดพลังงาน เพราะกลูโคสเป็นเชื้อเพลิงหลักที่สมองใช้แทบทั้งหมด หากระดับน้ำตาลลดต่ำลงกะทันหัน ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ เช่น ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก หรือหิวเฉียบพลัน นี่คือกลไกช่วยชีวิตที่เตือนให้ร่างกายรีบเพิ่มระดับน้ำตาลเพื่อป้องกันความเสียหาย
แต่ความอันตรายซ่อนอยู่ตรงที่ “อาการเตือนอาจไม่เกิดขึ้นในบางคน” โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวานมานาน ใช้อินซูลินประจำ หรือมีภาวะที่เรียกว่า Hypoglycemia unawareness หรือ ภาวะไม่รู้ตัวว่าน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้สมองไม่แสดงอาการเตือน จึงเสี่ยงเข้าสู่ระดับอันตรายได้ง่ายมาก เช่น หมดสติ ชัก หรือหยุดหายใจ หากน้ำตาลต่ำกว่า 40 mg/dL นานเกินไป
สมองขาดกลูโคสไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะสมองไม่มีพลังงานสำรอง การขาดน้ำตาลเพียงไม่กี่นาทีอาจทำลายสมองได้แบบถาวร นี่คือสาเหตุที่ภาวะน้ำตาลต่ำถือเป็น “ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์” ที่ต้องรีบแก้ไขทันที
สาเหตุสามารถเกิดได้ทั้งในผู้ป่วยเบาหวานและคนทั่วไป
ในผู้ป่วยเบาหวาน:
– ฉีดอินซูลินมากกว่าที่ร่างกายต้องการ
– ใช้ยากลุ่มกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน เช่น Sulfonylureas
– กินมื้ออาหารน้อยหรืองดมื้อโดยไม่ได้วางแผน
– ออกกำลังกายหนักกว่าปกติ
– ดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ได้กินอาหาร
ในคนทั่วไป:
– ดื่มแอลกอฮอล์มากจนตับสร้างกลูโคสไม่ได้
– อดอาหารนาน
– ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง
– โรคตับ โรคไต
– การติดเชื้อรุนแรง
– เนื้องอกหายากบางชนิดที่สร้างอินซูลินเกิน (Insulinoma)
แม้คนทั่วไปมักไม่ค่อยเกิดภาวะนี้ แต่ก็สามารถเกิดได้จริง โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวหรือภาวะโภชนาการไม่ดีร่วมด้วย
ร่างกายจะค่อย ๆ ส่งสัญญาณเตือนเมื่อระดับน้ำตาลลดลง ได้แก่
– มือสั่น ใจสั่น
– เหงื่อออกมาก
– หิวเฉียบพลัน
– หน้ามืด วิงเวียน
– พูดไม่ชัด มึนงง
– สมาธิลดลง คิดอะไรไม่ออก
– มองเห็นภาพซ้อน
– พฤติกรรมแปลกไปเหมือนคนเมา
– อารมณ์เปลี่ยน หงุดหงิดง่าย
– สับสนจนจำอะไรไม่ได้
– เดินเซ
– ชัก เกร็ง
– หมดสติ
– หยุดหายใจ
และความน่ากลัวคืออาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ “เร็วมากภายในไม่กี่นาที”
เมื่อระดับน้ำตาลต่ำกว่า 40 mg/dL สมองจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า Neuroglycopenia คือการที่ สมองขาดกลูโคสอย่างรุนแรง
สมองส่วนที่ควบคุมสติ การพูด การเคลื่อนไหว และการหายใจจะเริ่มทำงานผิดปกติทันที หากไม่ได้รับกลูโคสภายในเวลาอันสั้น เซลล์สมองบางส่วนจะเริ่มเสียหาย สามารถเกิดภาวะดังนี้
– ชักจากการทำงานผิดปกติของสัญญาณประสาท
– หมดสติจากการขาดการทำงานของสมอง
– หยุดหายใจ เพราะศูนย์ควบคุมการหายใจในก้านสมองหยุดทำงาน
– สมองเสียถาวรหากขาดกลูโคสเกิน 10–20 นาที
– เสียชีวิตหากไม่ได้รับการช่วยเหลือทันเวลา
นี่คือเหตุผลที่แพทย์ย้ำเสมอว่า “ภาวะน้ำตาลต่ำอันตรายกว่าน้ำตาลสูงในบางสถานการณ์” เพราะความรุนแรงเกิดขึ้นแบบฉับพลัน และมักเกิดขึ้นโดยผู้ป่วยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลากลางคืน
การป้องกันทำได้ง่ายและสำคัญมาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน
– กินอาหารตรงเวลา ไม่งดมื้อ
– ตรวจระดับน้ำตาลสม่ำเสมอ
– พกอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตดูดซึมเร็ว เช่น ลูกอม น้ำผลไม้
– แจ้งแพทย์ก่อนปรับยาเอง
– ลดขนาดยาในวันที่ออกกำลังกายหนัก
– หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ขณะท้องว่าง
– ใช้เครื่องวัดน้ำตาลต่อเนื่อง (CGM) หากจำเป็น
– ให้ญาติเรียนรู้สัญญาณเตือนและการช่วยเหลือฉุกเฉิน โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีภาวะน้ำตาลต่ำรุนแรง ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะมีโอกาสเกิดซ้ำสูง
กรณีผู้ป่วยรู้สึกตัวดีและกลืนได้
1. ให้รับประทานหรือดื่ม
– น้ำผลไม้ ½–1 แก้ว
– น้ำตาลก้อน 3–4 ก้อน
– เจลกลูโคส 1 ซอง
– น้ำอัดลมแบบปกติ (ไม่ใช่ไดเอต)
2. รอ 15 นาทีแล้วตรวจซ้ำ
3. ถ้ายังต่ำ ทำซ้ำอีกครั้ง
4. เมื่อดีขึ้น ให้กินอาหารคาร์บดูดซึมช้า เช่น ขนมปัง เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้คงที่
กรณีผู้ป่วยหมดสติ พูดไม่รู้เรื่อง หรือชัก
– ห้ามป้อนน้ำหรืออาหารเด็ดขาด เพราะเสี่ยงสำลักจนหยุดหายใจ
สิ่งที่ต้องทำ คือ
– โทร 1669 ทันที
– จัดท่านอนตะแคง ป้องกันการสำลัก
– หากมี Glucagon emergency kit (ชุดฉุกเฉินสำหรับรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรง) ให้ฉีดตามคำแนะนำ
– รีบนำส่งโรงพยาบาลแม้ฟื้นแล้ว ทุกวินาทีสำคัญอย่างยิ่งในภาวะนี้
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นภาวะที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเกิดในผู้ป่วยเบาหวานหรือคนทั่วไป เพราะความผิดปกติที่ดูเหมือนเล็กน้อยในนาทีแรก อาจกลายเป็นเหตุร้ายแรงในนาทีถัดไปได้อย่างรวดเร็ว ความเข้าใจในสัญญาณเตือน การป้องกันด้วยพฤติกรรมง่ายๆ และการรู้จักวิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง คือกุญแจสำคัญที่สุดที่จะลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงอย่างสมองขาดออกซิเจน ชัก หรือหยุดหายใจได้
อ้างอิง : si.mahidol.ac.th/ medparkhospital/ hdmall.co.th/ praram9.com
Advertisement