รู้จักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย หากมีพฤติกรรมเสี่ยง ต้องหมั่นสังเกตอาการ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infections: STIs หรือ Sexually Transmitted Diseases: STDs) คือกลุ่มโรคที่เกิดจากการติดเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทางทวารหนัก สาเหตุหลักเกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิตต่างๆ ที่แพร่จากคนสู่คนผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศ ช่องปาก หรือทวารหนัก
• การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน: ไม่ใช้ถุงยางอนามัยหรือไม่ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
• การมีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย: เพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อจากคู่นอนที่หลากหลาย
• การมีประวัติเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในอดีต: ทำให้มีความเสี่ยงที่จะกลับมาติดเชื้อได้อีก
• การใช้สารเสพติด: อาจนำไปสู่พฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย
• การไม่ได้รับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ: โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
(อาจแตกต่างกันไปตามชนิดของโรค และบางโรคอาจไม่มีอาการเลย):
• บริเวณอวัยวะเพศ: มีตุ่ม แผล ผื่น หูด หรือก้อนผิดปกติ, มีอาการคัน แสบ หรือระคายเคือง
• ตกขาว/น้ำหนอง: มีตกขาวผิดปกติ (ปริมาณ สี กลิ่น) หรือมีน้ำเหลือง/น้ำหนองไหลออกมาจากปลายอวัยวะเพศชาย
• การปัสสาวะ: ปัสสาวะแสบขัด หรือมีอาการปวดขณะปัสสาวะ
• การมีเพศสัมพันธ์: มีอาการเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
• อาการอื่นๆ ทั่วร่างกาย: มีไข้ ปวดตามกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ผื่นขึ้นตามฝ่ามือฝ่าเท้าหรือทั่วร่างกาย (ขึ้นอยู่กับชนิดของโรค)
โรคเริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes)
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ซึ่งมี 2 ชนิดหลัก คือ HSV Type 1 (ส่วนใหญ่มักเป็นเริมที่ปาก แต่ก็สามารถทำให้เกิดเริมที่อวัยวะเพศได้) และ HSV Type 2 (เป็นสาเหตุหลักของเริมที่อวัยวะเพศ)
ระยะฟักตัว: ประมาณ 2-20 วัน (เฉลี่ย 4-7 วัน)
อาการ:
ระยะเริ่มต้น: รู้สึกคัน แสบ หรือปวดบริเวณที่จะเกิดแผล
ระยะที่ 2: เกิดตุ่มน้ำใสขนาดเล็กหลายตุ่มรวมกันเป็นกลุ่ม บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือบริเวณใกล้เคียง ตุ่มน้ำจะแตกออกกลายเป็นแผลตื้นๆ ที่มีขอบแดงและเจ็บปวดมาก อาจมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตและเจ็บปวด เมื่อหายแล้ว เชื้อจะยังคงซ่อนอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนน้อย หรือเครียด
โรคหนองใน (Gonorrhea)
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae
ระยะฟักตัว: ประมาณ 1-14 วัน (เฉลี่ย 2-5 วัน)
อาการ:
ในเพศชาย: ปัสสาวะแสบขัด มีหนองสีเหลืองข้นหรือเขียวไหลออกมาจากปลายอวัยวะเพศ บางรายอาจมีอาการปวดอัณฑะ
ในเพศหญิง: ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ตกขาวผิดปกติ (มีสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น) ปัสสาวะแสบขัด เลือดออก กะปริบกะปรอย หากไม่รักษาอาจลุกลามไปยังมดลูก รังไข่ และท่อนำไข่ ทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ มีบุตรยาก หรือท้องนอกมดลูกได้
บริเวณอื่นๆ: หากติดเชื้อที่คอหรือทวารหนัก มักไม่มีอาการ หรือมีอาการเจ็บคอ เจ็บทวารหนัก
โรคหนองในเทียม (Chlamydia)
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis
ระยะฟักตัว: ประมาณ 7-21 วัน
อาการ:
ในเพศชาย: ปัสสาวะแสบขัด มีน้ำเมือกใสๆ ไหลออกมาจากปลายอวัยวะเพศ (อาจมีปริมาณน้อยกว่าหนองในแท้)
ในเพศหญิง: อาจมีตกขาวผิดปกติ ปวดท้องน้อย เลือดออกกะปริดกะปรอย หากไม่รักษาอาจนำไปสู่ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ ภาวะมีบุตรยาก หรือท้องนอกมดลูก อาจเกิดการติดเชื้อที่ตา คอ หรือทวารหนักได้
โรคซิฟิลิส (Syphilis)
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum
ระยะฟักตัว: ประมาณ 10-90 วัน (เฉลี่ย 21 วัน)
อาการ: มี 3 ระยะหลัก (และระยะแฝง)
ระยะที่ 1 (Primary Syphilis): เกิดแผลริมแข็ง (Chancre) ลักษณะเป็นแผลเดียว ขอบแข็ง ก้นแผลสะอาด ไม่เจ็บปวด มักเกิดที่อวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก แผลจะหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์ แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกาย
ระยะที่ 2 (Secondary Syphilis): เกิดขึ้นประมาณ 2-10 สัปดาห์หลังจากแผลริมแข็งหายไป เชื้อแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย อาการที่พบได้แก่ ผื่นแดงหรือน้ำตาลแดงขึ้นตามผิวหนัง โดยเฉพาะฝ่ามือฝ่าเท้า (มักไม่คัน) มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ปวดศีรษะ ผมร่วงเป็นหย่อมๆ มีหูดนูนแบน (Condyloma lata) บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก ต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย
ระยะแฝง (Latent Syphilis): เป็นช่วงที่ไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่อาจตรวจพบเชื้อจากการตรวจเลือด ระยะนี้อาจอยู่ได้หลายปี
ระยะที่ 3 (Tertiary Syphilis): เกิดขึ้นหลายปีหลังจากติดเชื้อ (10-30 ปี) เป็นระยะที่เชื้อทำลายอวัยวะภายในต่างๆ อย่างรุนแรง เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด กระดูก และระบบประสาท ทำให้เกิดความพิการร้ายแรง หรือเสียชีวิตได้
การติดเชื้อเอชพีวี (Human Papillomavirus: HPV) และโรคหูดหงอนไก่
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัส HPV มีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์ทำให้เกิดหูดหงอนไก่ บางสายพันธุ์เป็นสาเหตุของมะเร็งต่างๆ
ระยะฟักตัว: หลายเดือนถึงหลายปี
อาการ:
หูดหงอนไก่: มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อนุ่มๆ คล้ายดอกกะหล่ำ หรือตุ่มเล็กๆ อาจมีสีชมพู แดง หรือสีเนื้อ ขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ขาหนีบ หรือปาก อาจมีอาการคันหรือเจ็บ
มะเร็ง: บางสายพันธุ์ของ HPV (เช่น Type 16, 18) เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง และมะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก หรือมะเร็งช่องปาก ซึ่งอาจไม่มีอาการในระยะแรกๆ แต่เมื่อโรคลุกลามอาจมีอาการเช่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีเลือดออกผิดปกติหลังมีเพศสัมพันธ์ ปวดท้องน้อย น้ำหนักลด
โรคเอดส์ (AIDS) / การติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัส Human Immunodeficiency Virus (HIV) ซึ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ระยะฟักตัว: อาจใช้เวลาหลายปี (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล)
อาการ:
ระยะแรก (Acute HIV Infection): บางคนอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ เจ็บคอ ผื่น ปวดเมื่อย ต่อมน้ำเหลืองโต หลังจากนั้นอาการจะหายไปและเข้าสู่ระยะไม่มีอาการ
ระยะไม่มีอาการ (Clinical Latency): ผู้ติดเชื้ออาจไม่มีอาการใดๆ แต่เชื้อยังคงเพิ่มจำนวนและทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างช้าๆ ระยะนี้อาจนานเป็นสิบปี
ระยะเอดส์ (AIDS): ภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคต่างๆ ได้ ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ เชื้อราในช่องปาก รวมถึงโรคมะเร็งบางชนิด อาการที่พบได้แก่ น้ำหนักลด ท้องเสียเรื้อรัง ไข้เรื้อรัง เหงื่อออกกลางคืน ฝ้าขาวในปาก
พยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis)
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Trichomonas vaginalis
ระยะฟักตัว: ประมาณ 5-28 วัน
อาการ:
ในเพศหญิง: ตกขาวมีปริมาณมาก เป็นฟอง สีเหลืองปนเขียว มีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง คันและแสบช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด
ในเพศชาย: มักไม่มีอาการ หรืออาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด มีน้ำเมือกไหลจากปลายอวัยวะเพศเล็กน้อย
โลน (Pubic Lice)
สาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อปรสิต Pthirus pubis ซึ่งเป็นแมลงขนาดเล็กอาศัยอยู่ตามขนบริเวณอวัยวะเพศ รักแร้ หรือขนตา
อาการ: คันอย่างรุนแรงบริเวณที่มีโลนกัด อาจเห็นตัวโลนหรือไข่ของโลนติดอยู่ตามเส้นขน
• ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อส่วนใหญ่
• มีคู่นอนคนเดียวและซื่อสัตย์ต่อกัน: ลดความเสี่ยงในการรับเชื้อจากหลายคน
• หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย: เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า หรือการแลกเปลี่ยนเข็มฉีดยา
• เข้ารับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ: โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
• ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบางชนิด: เช่น วัคซีนป้องกัน HPV (มะเร็งปากมดลูก หูดหงอนไก่) หรือวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
• หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดและแอลกอฮอล์: เพราะอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม
หากสงสัยว่าตนเองหรือคู่นอนอาจติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเรื้อรังได้
Advertisement