โรคควรระวัง กินทุเรียนมากเสี่ยงอาการทรุด กินอย่างไรปลอดภัยต่อสุขภาพ
ทุเรียน ได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้" ด้วยรสชาติที่หวานมัน กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ และคุณค่าทางโภชนาการที่สูง แต่ในขณะเดียวกัน ทุเรียนก็เป็นผลไม้ที่มีพลังงานและน้ำตาลสูงมาก การบริโภคในปริมาณมากหรือไม่เหมาะสมอาจก่อให้เกิดผลเสีย โดยเฉพาะใน "กลุ่มเสี่ยง" หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท เช่น
1. ผู้ป่วยเบาหวาน
เหตุผล : ทุเรียนมีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง ซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผลต่อโรค : อาจทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ยาก เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาเสื่อม ไตวาย หรือเบาหวานขึ้นตา
2. ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
เหตุผล : ทุเรียนมีไขมันและพลังงานสูง อาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และมีโพแทสเซียมในระดับสูง ซึ่งอาจกระทบความดันในบางกรณี
ผลต่อโรค : ความดันโลหิตอาจพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะถ้ารับประทานคู่กับอาหารเค็มหรือดื่มแอลกอฮอล์
3. ผู้ป่วยโรคหัวใจ
เหตุผล : ไขมันและพลังงานสูงในทุเรียนสามารถเพิ่มระดับไขมันในเลือด (LDL) และน้ำหนักตัว
ผลต่อโรค : เพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ เสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือดหรือหัวใจวายเฉียบพลัน
4. ผู้ป่วยโรคไต
เหตุผล : ทุเรียนมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งไตที่ทำงานผิดปกติจะขับโพแทสเซียมได้ไม่ดี
ผลต่อโรค : โพแทสเซียมสะสมในเลือดมากเกินไป อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจหยุดเต้นได้
5. ผู้มีภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน
เหตุผล : ทุเรียนให้พลังงานสูงมาก (1 เม็ดเล็กสามารถให้พลังงานมากกว่า 100 กิโลแคลอรี)
ผลต่อสุขภาพ : น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย ทำให้ควบคุมน้ำหนักยาก เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดัน และไขมันในเลือดสูง
6. ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง
เหตุผล : ทุเรียนมีกรดไขมันอิ่มตัว และปริมาณน้ำตาลที่มาก
ผลต่อโรค : เพิ่มระดับไขมันเลว (LDL) ในเลือด อาจก่อให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด
7. โรคเก๊าต์
เหตุผล : ในทุเรียนมีฟรุกโตสสูง
ผลต่อโรค : ฟรุกโตสสามารถเปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกได้ในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ดังนั้นหาก กรดยูริกในร่างกายสูงก็จะยิ่งส่งเสริมให้ โรคเก๊าต์กำเริบได้
ห้ามเด็ดขาด!! ทุเรียนรับประทานร่วมกับแอลกอฮอล์ เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันที่ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยกำจัดแอลกอฮอล์ อาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรือเสียชีวิตได้ในกรณีรุนแรง
ควรรับประทานในปริมาณจำกัด แม้จะไม่มีโรคประจำตัว ควรรับประทานทุเรียนไม่เกิน 1-2 เม็ดเล็กต่อวัน และไม่ควรรับประทานทุกวัน
1. กินทุเรียนปริมาณพอดี : ไม่ควรเกิน 1 พู หรือ 2 เม็ด ต่อครั้งในแต่ละวัน โดยสัปดาห์หนึ่งไม่ควรกินเกิน 3 วัน หากอยากกินมากกว่านี้ ก็ทำได้ แต่ควรเลือกทุเรียนที่ไม่สุกงอม เละเกินไป เพราะยิ่งสุก ยิ่งเละ ยิ่งหวานจัด ควรเลือกแบบกึ่งห่าม เพราะแป้ง น้ำตาลจะน้อยกว่าทุเรียนที่สุกมาก
2. การกินทุเรียนส่วนใหญ่ควรกินในช่วงเวลาอาหารว่าง : จากนั้นต้องเตือนตัวเองว่า เมื่อถึงเวลาอาหารมื้อหลัก ควรลดปริมาณแป้ง น้ำตาล เพราะตอนกินทุเรียนเป็นอาหารว่าง ได้พลังงานมาะสะสมแล้ว หากยังกินข้าวหรือแป้งในมื้อหลักเท่าเดิม จะเท่ากับว่ามีพลังงานส่วนเกิน หากใครเลือกเวลากินทุเรียนช่วงหลังอาหาร ก็ต้องกินข้าวหรือแป้งน้อยลงก่อนเช่นกัน
3. มีโรคประจำตัวกินได้แต่ต้องปริมาณน้อย : คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด กินได้แต่ต้องมีปริมาณน้อยกว่าคนทั่วไป
4. ออกกำลังกายเบาๆ : ต้องออกกำลังกายอย่างน้อยก็เดินครึ่งชั่วโมง เพื่อเผาผลาญน้ำตาลออกให้ได้
5. กินผลไม้ที่มีน้ำเยอะๆ และหวานน้อย : อย่างที่มีคำแนะนำกันเรื่องการกินมังคุดตามหลังกินทุเรียน จึงเหมาะสมที่สุด เพราะมังคุดมีฤทธิ์เย็น ส่วนทุเรียนมีฤทธิ์ร้อน จึงกินคู่กันได้ และต้องวางแผน ไม่กินผลไม้ที่มีความหวานสูงพร้อมกัน โดยเฉพาะในฤดูกาลผลไม้นี้มีทั้ง มะม่วงสุก เงาะ ลิ้นจี่
6. อย่ากินน้ำอัดลมและกาแฟตาม : เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท และมีความหวาน
7. ห้ามกินกับเหล้า แอลกอฮอล์เด็ดขาด : เพราะในทุเรียนมีสารกำมะถันหรือซัลเฟอร์ ทำให้เมาหนักขึ้น อาจทำให้เกิดความผิดปกติต่อระบบหายใจ เสี่ยงที่จะเสียชีวิต
8. สำหรับความเชื่อเรื่องการนำน้ำใส่ในพูทุเรียนแล้วดื่มนั้น เป็นกุศโลบาย : ให้ดื่มน้ำตามเยอะๆ ซึ่งความจริงดื่มน้ำจากแก้วตามปกติก็เพียงพอ ส่วนความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง คือ หลังกินทุเรียนให้กินน้ำละลายเกลือเล็กน้อย เพราะจะเป็นผลเสียต่อร่างกายมากกว่าจากการได้รับโซเดียม หรือความเค็ม เพิ่มเติมจากก่อนหน้านี้ได้ความหวานมาอย่างเต็มที่แล้ว
ทุเรียนอาจอร่อยและมีประโยชน์ในแง่ของวิตามินและไฟเบอร์ แต่ก็เป็นผลไม้ที่ "หนัก" ต่อร่างกายโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว การหลีกเลี่ยงหรือจำกัดการบริโภคทุเรียนจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว การเลือกอาหารให้เหมาะสมกับสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีโรคประจำตัวร่วมอยู่แล้ว
อ้างอิงข้อมูลจาก : กรมอนามัย, บัณฑิตกายภาพ, สสส.
Advertisement