
ประเด็นเดือดหลังมีการพูดถึงการนำเข้ารถ BYD จากโรงงานในเขมร เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย เป็นความจริงหรือไม่? และความจริงของโรงงานบีวายดีในกัมพูชา ในบทความนี้จะพาไปวิเคราะห์ถึงเรื่องนี้กัน
สิ่งนี้เป็นไปได้ยากถึงแม้จะไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามองถึงในระยะสั้นและระยะกลางแทบเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย รถรุ่นปัจจุบันที่จำหน่ายในประเทศไทย ไม่ว่าจะ BYD Dolphin, BYD Atto 3, BYD Sealion 6 หรือแม้จะ BYD Seal 5 DM-i ล้วนเป็นรถที่ผลิตในประเทศไทยแทบทั้งสิ้น และในความเป็นจริงกำลังการผลิตของโรงงานในประเทศไทยของ BYD อยู่ในระดับ 1.5 แสนคันต่อปี ถือว่าเพียงพอและยังไม่อยู่ในระดับเต็มกำลังการผลิต ซึ่งถ้ามองถึงเหตุและผลจริงๆ การหาช่องทางเพื่อส่งออกรถจากโรงงานในประเทศไทยดูจะเป็นเรื่องที่น่าพูดถึงมากกว่า
BYD เข้าลงทุนและก่อตั้งโรงงานในกัมพูชาจริง ด้วยเม็ดเงินราว 32 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 1.1 พันล้านบาท ซึ่งไม่ใช่โรงงานรถเพียงแบรนด์เดียวที่ตั้งในเขมร ยังมีโรงงาน Toyota, Ford และ Hyundai ที่เป็นผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลกด้วยเช่นเดียวกัน โดยโรงงานของบีวายดีตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ (SSEZ-Sihanoukville Special Economic Zone) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชา และยังเป็นพื้นที่ใกล้ท่าเรือสำคัญสำหรับการนำเข้าและส่งออก
โรงงานบีวายดีในกัมพูชา ถือเป็นโรงงานแห่งที่สองต่อจากไทยในภูมิภาคอาเซียนนี้ และยังมีการวางแผนสร้างโรงงานที่อินโดนีเซียอีกแห่งเช่นกัน
สำหรับรูปแบบของโรงงานบีวายดีในกัมพูชานั้น เป็นแบบ CKD (Completely Knocked Down) กำลังการผลิตราว 10,000 คันต่อปี ผลิตทั้งรถแบบ BEV และ PHEV เป็นการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศในรูปแบบสำเร็จรูป เข้าทำการประกอบในโรงงาน ไม่ใช่โรงงานผลิตชิ้นส่วนเองตั้งแต่ขั้นตอนแรก การก่อตั้งมีการวางศิลาฤกษ์เมื่อกลางปี 2568 เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ซุน จันทอล รองนายกฯ และรองประธาน CDC ได้เข้าตรวจสอบสายการผลิตในโรงงานบีวายดี ประเทศกัมพูชา ตามกำหนดการแล้วเสร็จในปลายปีนี้
สำหรับรัฐบาลกัมพูชาวางแผนว่าภายในปี 2050 รถยนต์และรถโดยสารประจำทางในเมือง 40% และรถจักรยานยนต์ 70% จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรก ในกัมพูชา คือ BYD Toyota และ Tesla
อย่างที่บอกไปว่าโรงงานในกัมพูชา เป็นแบบ CKD ไม่ใช่ผลิตเอง และเน้นการจำหน่ายในประเทศเป็นหลักด้วยกำลังการผลิตหมื่นคันต่อปี แม้ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของกัมพูชาจะยังไม่ได้ใหญ่มาก แต่มียอดการเติบโตที่สูงและรวดเร็ว แต่เหตุผลสำคัญคือการประกอบในโรงงานกัมพูชาไม่ได้ลดภาระค่าแรงหรือภาษี จึงแทบไม่ต่างกับการนำเข้าโดยตรงจากประเทศจีนโดยตรง เว้นแต่หลังจากนี้จะมีมาตรการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป
ส่วนถ้ามองกลับมาที่โรงงานในประเทศไทยที่เปิดตัวตัวไปก่อนในปี 2024 กำลังการผลิตมหาศาลถึง 1.5 แสนคันต่อปี ถูกออกแบบให้เป็นฐานการผลิตหลักสำหรับตลาดในประเทศและส่งออกในระดับภูมิภาค ซึ่งขนาดและการลงทุนใหญ่กว่าในเขมรมาก ด้วยเหตุนี้ BYD น่าจะเลือกรถที่ขายจากโรงงานในประเทศก่อน มากกว่าที่จะใช้วิธีนำเข้าจากโรงงานนอกประเทศ
อย่าลืมเรื่องเหตุผลด้านภาษีนำเข้า รวมถึงนโยบายรถยนต์ไฟฟ้า ที่เน้นการผลิตในประเทศเป็นหลัก และยังมีเรื่องของการผลิตเพื่อให้ได้สัดส่วนกับอัตรานำเข้า ซึ่งแค่เรื่องผลิตชดเชย ก็ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของค่ายรถที่ต้องทำยอดให้ได้ตามเป้าอยู่แล้ว ดังนั้นการจะเพิ่มการนำเข้าจากโรงงานในเขมรจึงแทบเป็นเรื่องยากมาก
คำตอบคือ ไม่มีอะไรในโลกเป็นไปไม่ได้ ถ้าการผลิตในกัมพูชาลดต้นทุนได้เป็นจำนวนมาก และอาจเป็นรถรุ่นราคาถูกที่ไม่ผลิตในไทย เนื่องจากตลาดรถไฟฟ้าในกัมพูชากลุ่มที่เน้นความคุ้มค่าถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่ รวมถึงกรณีมีข้อตกลงการค้าเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งจากปัญหาความวุ่นวายในปัจจุบันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย
BYD ประเทศไทย ได้ร่อนหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแหล่งการผลิตรถยนต์ที่จำหน่ายในประเทศไทย ว่ารถ BYD ในปัจจุบันรุ่นจำหน่ายในประเทศ ทำการผลิตและจัดส่งจากฐานการผลิตในประเทศไทยและประเทศจีนเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของตลาดและข้อกำหนดด้านกฎหมายและการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
BYD Dolphin, BYD Atto 3, BYD Sealion 6, และ BYD Seal 5 ที่จำหน่ายในประเทศ มีการผลิตออกจากโรงงานในประเทศไทย ภายใต้การปฎิบัติตามกฎหมาย มาตรฐานคุณภาพ และการกำกับดูแลของหน่วยงานภาครัฐไทยอย่างเคร่งครัด
BYD ยังได้แสดงข้อความถึงความเคารพต่อประเทศไทย สังคมไทย และลูกค้าชาวไทย มุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ สนับสนุนการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย