เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจ และคุณต้องขับรถเผชิญกับน้ำท่วมอย่างไม่ทันตั้งตัว สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งสติและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างรอบคอบ เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวคุณเอง ผู้ร่วมเดินทาง และรถยนต์คู่ใจ บทความนี้จะให้คำแนะนำอย่างละเอียดตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนเข้าสู่พื้นที่น้ำท่วม การรับมือขณะขับขี่ และการดูแลรักษารถหลังผ่านพ้นสถานการณ์ไปแล้ว
การเตรียมตัวและประเมินสถานการณ์ (ถ้ามีเวลา)
ก่อนตัดสินใจขับรถลุยน้ำท่วม ควรประเมินสถานการณ์ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากมีทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องขับรถลุยน้ำ ควรหลีกเลี่ยงทันที แต่หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้:
- ประเมินระดับน้ำ ระดับน้ำไม่เกินขอบล้อรถ เป็นระดับที่สามารถขับผ่านได้ค่อนข้างปลอดภัย ควรขับช้าๆ เพื่อไม่ให้น้ำกระเซ็นเข้าห้องเครื่องระดับน้ำถึงครึ่งล้อ (หรือต่ำกว่าท่อไอเสีย) ระดับนี้ยังพอขับผ่านได้ แต่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และห้ามดับเครื่องยนต์เด็ดขาดระดับน้ำสูงเกินขอบล้อ หรือสูงเกือบถึงประตู ไม่ควรขับลุยอย่างยิ่ง เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่น้ำจะไหลเข้าท่อไอเสีย หรือทำให้เครื่องยนต์เสียหายจากการที่น้ำเข้าไปในเครื่อง (Water Hammer)
- สังเกตรถคันอื่น หากมีรถคันอื่นขับลุยน้ำอยู่ ให้สังเกตว่ารถประเภทเดียวกันกับคุณสามารถผ่านไปได้หรือไม่ และขับด้วยความเร็วเท่าไหร่
การปฏิบัติเมื่อต้องขับรถลุยน้ำท่วม
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะต้องขับรถลุยน้ำ ควรปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างเคร่งครัด
- ปิดระบบปรับอากาศ (A/C) การปิด A/C จะช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ และป้องกันพัดลมหน้าเครื่องจากการดูดน้ำเข้าไปในห้องเครื่อง
- ใช้เกียร์ต่ำ หากรถของคุณเป็นเกียร์อัตโนมัติ ให้ใช้เกียร์ "L" หรือ "1" หากเป็นเกียร์ธรรมดา ให้ใช้เกียร์ 1 หรือ 2 การใช้เกียร์ต่ำจะช่วยรักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่และมีกำลังขับเคลื่อนที่ต่อเนื่อง ป้องกันไม่ให้รถดับกลางทาง
- รักษารอบเครื่องให้คงที่และสม่ำเสมอ เหยียบคันเร่งเบาๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม (ประมาณ 1,500 - 2,000 รอบ/นาที) อย่าเหยียบและปล่อยคันเร่งบ่อยๆ เพราะจะทำให้น้ำเข้าท่อไอเสียได้ง่าย
- ใช้ความเร็วต่ำที่สุด ควรขับด้วยความเร็วต่ำๆ ประมาณ 10-20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การขับเร็วจะทำให้น้ำกระเซ็นสูงขึ้นจนอาจสร้างความเสียหายได้ และยังสร้างคลื่นน้ำไปรบกวนรถคันอื่น
- รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ เพราะเมื่อขับในน้ำเบรกจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และการขับตามรถคันหน้ามากเกินไปอาจทำให้รถดับได้จากการที่คลื่นน้ำจากรถคันหน้าไหลย้อนเข้าท่อไอเสีย
- เมื่อขับผ่านไปแล้ว เหยียบเบรกย้ำๆ หลังจากพ้นจากบริเวณที่มีน้ำท่วม ให้เหยียบเบรกย้ำๆ หลายครั้ง เพื่อไล่น้ำออกจากผ้าเบรกและจานเบรก ทำให้เบรกกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด
- ห้ามเร่งเครื่องยนต์ในระดับที่สูงเกินไป การเร่งเครื่องยนต์แรงๆ ในน้ำท่วมจะทำให้น้ำถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์ได้
- ห้ามดับเครื่องยนต์ในขณะที่ยังอยู่ในน้ำ หากรถดับกลางน้ำท่วม ห้ามพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่เด็ดขาด เพราะน้ำที่ค้างอยู่ในท่อไอเสียหรือห้องเครื่องอาจถูกดูดเข้าไปในกระบอกสูบ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "Water Hammer" ซึ่งจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเครื่องยนต์ (ลูกสูบคด, ก้านสูบงอ) ในกรณีนี้ควรโทรเรียกช่างซ่อมหรือรถลากเท่านั้น
- อย่าขับใกล้รถบรรทุกหรือรถขนาดใหญ่ รถขนาดใหญ่จะสร้างคลื่นน้ำที่สูงกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้รถของคุณเสียหลักหรือน้ำเข้าเครื่องได้ง่ายขึ้น
- หลีกเลี่ยงการขับรถสวนกันในเลนแคบๆ เมื่อขับสวนกัน คลื่นน้ำที่เกิดจากรถแต่ละคันจะรวมกันทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
การดูแลรักษารถหลังขับลุยน้ำท่วม
แม้จะขับผ่านน้ำท่วมมาได้อย่างปลอดภัย แต่ก็ไม่ควรละเลยการตรวจเช็กรถหลังใช้งานทันที เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- เช็กระบบเบรก นำรถไปตรวจเช็กผ้าเบรก จานเบรก และระบบเบรกทั้งหมด
- เช็กของเหลวในรถ ตรวจสอบน้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์, และน้ำมันเบรก หากมีสีขุ่นผิดปกติหรือมีน้ำปนอยู่ ควรเปลี่ยนถ่ายทันที
- ตรวจสอบระบบไฟฟ้า เช็กระบบไฟต่างๆ ว่ายังทำงานได้ปกติหรือไม่ รวมถึงกล่อง ECU ที่อาจได้รับความเสียหายจากน้ำ
- ทำความสะอาดภายในรถ หากน้ำท่วมเข้าภายในรถ ควรนำไปทำความสะอาดและตากให้แห้งสนิท เพื่อป้องกันกลิ่นอับและเชื้อรา
- นำรถเข้าศูนย์บริการหรืออู่ซ่อม เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจสอบอย่างละเอียดว่ามีชิ้นส่วนใดที่ได้รับความเสียหายจากน้ำหรือไม่ โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่อยู่ใกล้พื้นรถ เช่น เพลาล้อ, ลูกปืนล้อ, และช่วงล่าง
การขับรถในสถานการณ์น้ำท่วมเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำหากไม่จำเป็น แต่หากเลี่ยงไม่ได้ การเตรียมตัวและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก จงมีสติและไม่ประมาทในทุกสถานการณ์