Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
ทำไมไฟจราจรต้องเป็นสีเขียว เหลือง แดง? แต่ละสีมีความหมายอย่างไร

ทำไมไฟจราจรต้องเป็นสีเขียว เหลือง แดง? แต่ละสีมีความหมายอย่างไร

22 เม.ย. 68
12:00 น.
แชร์

ทุกคนที่ใช้ถนน ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถ คนขี่มอเตอร์ไซค์ หรือแม้กระทั่งคนเดินถนน คงคุ้นเคยกับสัญญาณไฟจราจร 3 สี คือ แดง เหลือง และเขียว เป็นอย่างดี ซึ่งแต่ละสีมีความหมายเฉพาะและส่งผลต่อการตัดสินใจในการขับขี่และการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ถนนอย่างชัดเจน

แต่เคยสงสัยไหมว่า… ทำไมต้องเป็น "สีเขียว เหลือง และแดง"? ทำไมไม่ใช้สีอื่น? สีทั้งสามนี้มีความหมายอย่างไร? และใครเป็นคนกำหนด? จะพาไปค้นหาคำตอบกัน

จุดเริ่มต้นของสัญญาณไฟจราจร

ย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 19 ก่อนจะมีไฟจราจรอย่างในปัจจุบัน การควบคุมการจราจรในเมืองใหญ่ของโลกใช้ตำรวจเป็นผู้ควบคุมโดยตรง โดยเฉพาะในเมืองที่รถม้าและรถยนต์เริ่มเข้ามาใช้งานร่วมกันมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดความแออัดและอุบัติเหตุเป็นจำนวนมาก

ไฟจราจรไฟฟ้าชุดแรก เกิดขึ้นที่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 1868 โดยเป็นแบบไฟแก๊ส ใช้สัญญาณแสงสีเขียวและแดง และมีเจ้าหน้าที่คอยเปิด-ปิดเปลี่ยนไฟด้วยมือ (ยังไม่มีสีเหลืองตอนนั้น)

ต่อมาในปี 1914 ที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา มีการติดตั้งไฟจราจรไฟฟ้าอัตโนมัติเป็นครั้งแรก โดยใช้ไฟ สีแดงและเขียว และต่อมาในปี 1920 จึงมีการเพิ่ม “ไฟสีเหลือง” เข้าไป โดย ตำรวจชื่อ William Potts จากเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน เป็นคนแรกที่ออกแบบระบบไฟจราจรแบบสามสี เพื่อทำให้การจราจร “มีจังหวะ” มากขึ้น

แล้วทำไมต้องเป็นสี “แดง เหลือง เขียว”

การเลือกใช้สีเหล่านี้ ไม่ได้สุ่มเลือกหรือแค่เพราะ “ดูแล้วเข้าใจง่าย” เท่านั้น แต่มี เหตุผลทั้งทางจิตวิทยา วิทยาศาสตร์ และประวัติศาสตร์ รองรับอย่างชัดเจน

สีแดง = หยุด (STOP)

ความหมาย: ให้หยุดรถทันที

เหตุผลที่เลือกสีแดง

  • สีแดงเป็นสีที่ มีความยาวคลื่นสูงที่สุด (ประมาณ 620–750 นาโนเมตร) ทำให้ตาเรามองเห็นได้ชัดเจนที่สุด แม้ในระยะไกล
  • สีแดงสื่อถึง “อันตราย” และ “ความตึงเครียด” ตามหลักจิตวิทยา สีนี้กระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ได้ดี ทำให้คนรู้สึกต้องหยุด หรือระวังทันที
  • สีแดงถูกใช้ในธรรมชาติเพื่อเตือนภัย เช่น สีของเลือด หรือสัตว์มีพิษบางชนิด

สีเหลือง = เตรียมหยุด / ระวัง (CAUTION)

ความหมาย: เตรียมหยุดรถ หากขับอยู่ใกล้สี่แยก ควรชะลอและพร้อมหยุด

เหตุผลที่เลือกสีเหลือง

  • สีเหลืองเป็นสีที่มีความยาวคลื่นรองจากสีแดง มองเห็นชัดเช่นกัน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
  • เป็น “สีที่เตือนให้ระวัง” ในหลายวัฒนธรรม สีนี้ไม่รุนแรงเท่าสีแดง แต่ก็สร้างความรู้สึกเร่งด่วน ทำให้คนรู้ตัวว่าต้องชะลอ
  • ใช้เพื่อเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า เช่นเดียวกับเครื่องหมาย “ระวังอันตราย” หรือ “พื้นที่ก่อสร้าง” ที่มักใช้สีเหลืองดำ

สีเขียว = ไปได้ (GO)

ความหมาย: เคลื่อนตัวหรือขับรถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย

เหตุผลที่เลือกสีเขียว

  • สีเขียวมีความยาวคลื่นปานกลาง (ประมาณ 495–570 นาโนเมตร) ให้ความรู้สึก “สงบ” และ “ปลอดภัย”
  • สีเขียวมีความคมชัดบนพื้นหลังสีเข้มหรือเวลากลางคืนได้ดี
  • ทางจิตวิทยา สีเขียวสื่อถึง “ความปลอดภัย” “การเริ่มต้น” หรือ “ธรรมชาติ” ทำให้คนรู้สึกมั่นใจที่จะขับเคลื่อนต่อไป

สัญญาณไฟจราจรกับจิตวิทยาของมนุษย์

มนุษย์สามารถตอบสนองต่อสีได้โดยไม่ต้องใช้ภาษา สีทั้งสามจึงเป็นเหมือนภาษาสากลที่คนทั่วโลก “เข้าใจตรงกัน” แม้จะมีพื้นเพและวัฒนธรรมที่ต่างกัน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว การใช้สีเพื่อสื่อสารจึงได้ผลดีกว่าคำพูดหรือสัญลักษณ์อื่น ๆ

ไฟจราจรในปัจจุบัน

ปัจจุบันไฟจราจรแบบสามสีนี้ถูกใช้ทั่วโลก โดยอาจมีรูปแบบที่ต่างกันเล็กน้อย เช่น บางประเทศใช้สัญลักษณ์เพิ่ม เช่น ลูกศร หรือแสงกระพริบเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวที่เฉพาะเจาะจง (เช่น เลี้ยวขวาอย่างเดียว)

เทคโนโลยียังได้พัฒนาให้ไฟจราจรมีความ “อัจฉริยะ” มากขึ้น เช่น ระบบควบคุมไฟจราจรตามเวลาจริง (adaptive traffic lights) ที่สามารถเปลี่ยนเวลาการเปิด-ปิดตามความหนาแน่นของรถในแต่ละเส้นทาง หรือแม้แต่การควบคุมผ่านกล้องและเซนเซอร์

สีแดง เหลือง และเขียวของไฟจราจรนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ผ่านการคิด วิเคราะห์ และทดลองจากผู้เชี่ยวชาญมาตั้งแต่อดีต สีเหล่านี้สามารถสื่อสารกับผู้ใช้ถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับ “สากล” และกลายเป็น “ภาษาที่ไม่มีเสียง” ที่ทุกคนเข้าใจเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหน

เมื่อเราเข้าใจที่มาของสัญญาณไฟเหล่านี้มากขึ้น ก็ยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะไฟแต่ละสีอาจเป็นตัวกำหนดว่า “คุณจะถึงบ้านอย่างปลอดภัย” หรือไม่ในแต่ละวัน

ประเทศไหนใช้ไฟจราจรต่างจากแบบทั่วไป?

แม้ “แดง-เหลือง-เขียว” จะเป็นมาตรฐานสากล แต่บางประเทศมีลูกเล่นเฉพาะของตัวเอง หรือมีการตีความและใช้งานแตกต่างไปเล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรม สภาพแวดล้อม หรือเทคโนโลยีที่มี

ญี่ปุ่น ไฟเขียวที่ "ดูเหมือนฟ้า"

แม้จะเป็นสีเขียว แต่คนญี่ปุ่นมักเรียกไฟเขียวว่า “อาโอะชิงโก” (青信号) ซึ่งคำว่า “อาโอะ” แปลว่าสีฟ้า! ทำไมถึงเรียกแบบนั้น?

  • สมัยก่อนในภาษาญี่ปุ่น สีเขียวและฟ้าไม่ได้แยกออกจากกันชัดเจน จึงมีการเรียกรวมๆ ว่าสีฟ้า
  • แม้ในปัจจุบันไฟเขียวในญี่ปุ่นจะถูกทำให้ “เขียวมากขึ้น” ตามมาตรฐานสากล แต่ยังคงติดคำเรียกเดิมว่า “อาโอะ” อยู่

จีน เพิ่มตัวเลขนับถอยหลัง

แยกไฟจราจรในจีนส่วนใหญ่จะติดตั้งไฟนับถอยหลังไว้ที่ตัวไฟแดงและไฟเขียวด้วย เพื่อให้ผู้ขับขี่เตรียมตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เหลือ 5 วินาทีก่อนเปลี่ยนเป็นไฟเขียว หรือแดง

อินเดีย มีไฟกระพริบตามเวลาช่วงกลางคืน

เพื่อประหยัดพลังงาน ในช่วงดึก (โดยเฉพาะหลังเที่ยงคืน) หลายเมืองในอินเดียจะเปลี่ยนไฟแดง-เหลือง-เขียวปกติให้กลายเป็น “ไฟกระพริบ” เช่น ไฟเหลืองกระพริบแสดงว่าควรชะลอ แต่ไม่จำเป็นต้องหยุด

เนเธอร์แลนด์ “ถนนไม่มีไฟ” ในบางเมือง

เมือง Groningen และบางเขตของ Amsterdam เลือกใช้แนวคิด “Shared Space” คือ ตัดไฟจราจรและป้ายจราจรออกไปทั้งหมด และให้คนขับ คนเดินถนน และนักปั่นจักรยาน “ดูแลกันเอง” ผลลัพธ์คืออุบัติเหตุน้อยลง เพราะทุกคนต้องชะลอและมีน้ำใจมากขึ้น

เทคโนโลยีไฟจราจรในอนาคตจะเป็นอย่างไร?

ไฟจราจรในอนาคตไม่ได้เป็นเพียงแค่สัญญาณไฟอีกต่อไป แต่มันกำลังจะกลายเป็น “สมองของการจราจร” ที่เชื่อมต่อกับทุกสิ่ง ตั้งแต่รถยนต์ เมือง ไปจนถึง AI

AI Traffic Lights – สัญญาณไฟจราจรอัจฉริยะ

  • เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์จากกล้อง CCTV, เซ็นเซอร์ และข้อมูลจากรถบนถนน เพื่อปรับเวลาของไฟเขียว-แดงตามสภาพจราจรจริง
  • ตัวอย่าง คือ หากฝั่งหนึ่งรถติดยาว ระบบอาจเพิ่มเวลาไฟเขียวให้อัตโนมัติ ลดความแออัดได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม

V2X Communication ไฟจราจรที่ “คุยกับรถ” ได้

  • Vehicle-to-Everything (V2X) คือเทคโนโลยีที่ให้ไฟจราจรส่งสัญญาณไปยังรถยนต์แบบไร้สาย เช่น แจ้งว่ากำลังจะเปลี่ยนเป็นไฟแดงในอีก 5 วินาที เพื่อให้รถเตรียมเบรก
  • รถ EV และรถขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคตจะใช้เทคโนโลยีนี้ร่วมกับระบบเบรกอัตโนมัติ

Smart City Integration ผนึกกับระบบเมือง

  • ไฟจราจรจะเชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะ เช่น หากรถบัสหรือรถพยาบาลกำลังมา ระบบจะเปิดไฟเขียวให้อัตโนมัติ หรืออาจประสานกับแอปในมือถือเพื่อนำทางผู้พิการทางสายตา

สัญญาณไฟแบบ LED อัจฉริยะ

  • จะมีการเปลี่ยนจากหลอดไฟแบบเดิมเป็น LED 100% ที่สามารถแสดงสีและรูปแบบได้หลากหลาย รวมถึงแสดงสัญลักษณ์เพิ่มเติม เช่น นับถอยหลัง ลูกศรวิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหว
  • บางระบบกำลังทดสอบ “พื้นถนนอัจฉริยะ” ที่ไฟจะฉายขึ้นจากพื้นแทนที่เสาสัญญาณไฟ เพื่อความปลอดภัยในเมืองที่มีคนเดินถนนเยอะ เช่นในเกาหลีใต้และเนเธอร์แลนด์

แม้ว่าไฟจราจรแบบ “แดง-เหลือง-เขียว” จะกลายเป็นมาตรฐานของโลกมานาน แต่การนำไปใช้ในแต่ละประเทศก็มีความแตกต่างเล็กน้อยตามบริบท และเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปข้างหน้า ไฟจราจรก็จะไม่ใช่แค่หลอดไฟที่เปลี่ยนสีอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นระบบอัจฉริยะที่รู้จักผู้ขับ รู้จักถนน และปรับตัวเองได้ตลอดเวลา เพื่อสร้างการจราจรที่ “ลื่นไหล ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ” มากที่สุด

แชร์
ทำไมไฟจราจรต้องเป็นสีเขียว เหลือง แดง? แต่ละสีมีความหมายอย่างไร