ในวันที่ 29 กันยายน 2568 คณะรัฐมนตรีซึ่งนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา คำแถลงนโยบายนี้แบ่งหมวดหมู่ออกเป็น
1.นโยบายด้านเศรษฐกิจ
2.นโยบายด้านความมั่นคง
3.นโยบายด้านสังคม
4.นโยบายด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และ 5. นโยบายด้านบริหารภาครัฐและปฏิรูปกฎหมาย
อย่างไรก็ดี ในเอกสารคำแถลงนโยบาย กลับไม่มีการแยกเรื่องนโยบายต่างประเทศออกมาเป็นหมวดหมู่เฉพาะ แต่กลับรวมอยู่ในหมวดนโยบายด้านความมั่นคงและมีเฉพาะเรื่องปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเท่านั้นที่สอดแทรกเรื่องนโยบายต่างประเทศเข้ามาเชื่อมต่อกับนโยบายความมั่นคง
กระนั้นก็ตาม ด้วยสภาพภูมิรัฐศาสตร์ของรัฐไทยที่มีพรมแดนทางบกติดกับเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา มาเลเซีย เมียนมาและลาว จึงน่าวิเคราะห์ต่อว่าการวางแผนบริหารประเทศห้วง 4 เดือนสั้น ๆ ของรัฐบาลอนุทินนั้น ยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศของไทยต่อเพื่อนบ้าน จะมีลักษณะอย่างไร และ ภัยคุกคามที่มาจากเพื่อนบ้าน มีเรื่องอะไรบ้างที่รัฐไทยควรใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในแง่มุมนโยบายต่างประเทศ
ในเอกสารร่างคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ปกน้ำเงิน ขลิบธงชาติ) ข้อ 6. ว่าด้วยการแก้ปัญหากับกัมพูชา ระบุข้อความว่า "เพื่อนำความมั่นคงปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนตามบริเวณชายแดนโดยเร็วและรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทยโดยชอบธรรมตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากล รวมถึงดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง ตลอดจนทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา นอกจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจและสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ”
ส่วนข้อ 7. ซึ่งเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนใต้ เอกสารระบุว่า "รัฐบาลจะเร่งรัดปรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในด้านการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคู่ขนานไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน"
จากเนื้อความดังกล่าว ก็พอบ่งชี้เป็นนัย ๆ ว่า รัฐบาลอนุทินให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชามากที่สุด โดยรัฐบาลจะใช้ทั้งเครื่องมือทางการทูตและการทหาร กล่าวคือ ใช้กำลังรบของกองทัพเข้าป้องกันประเทศอย่างเข้มแข็ง และใช้การต่างประเทศเชิงรุกผ่านกลไกเจรจาทางการทูตเพื่อยุติความขัดแย้งกับกัมพูชา ขณะที่เรื่อง MOU ปี พ.ศ. 2543 และ 2544 ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงต่อเส้นเขตแดนและยุทธศาสตร์การต่อสู้ของไทยที่มีต่อกัมพูชาในเรื่องเขตแดน รัฐบาลอนุทินเตรียมเปิดให้ประชาชนเข้ามาร่วมตัดสินใจผ่านการทำประชามติ ส่วนปัญหาเรื่องชายแดนใต้นั้น รัฐบาลไทยจะเน้นหนักไปที่การแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงภายในขอบเขตประเทศไทย มากกว่าจะเน้นเรื่องการดำเนินนโยบายต่างประเทศต่อรัฐบาลมาเลเซีย
ถ้าพินิจเอกสารดี ๆ พบว่า มีเพียงแค่เรื่องกัมพูชาเท่านั้น ที่แสดงให้เห็นถึงมิตินโยบายต่างประเทศในบางแง่มุม ส่วนเรื่องชายแดนภาคใต้ จะมีลักษณะเป็นเพียงนโยบายภายในประเทศเท่านั้น ขณะที่ปัญหาด้านเมียนมาและลาว กลับไม่พบการกล่าวถึงใด ๆ ในเอกสารร่างคำแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทินเลย
สำหรับสถานการณ์ในรัฐเพื่อนบ้านที่ล้อมติดไทย มาวันนี้ คงต้องยอมรับกันจริง ๆ ว่า กัมพูชาคือภัยคุกคามไทยในระยะประชิดที่ชัดเจนเข้มข้นที่สุด ระบอบฮุน เซน-ฮุน มาเนต ได้เข้าควบคุมระเบียบการเมืองและวิถีชีวิตของชาวเขมรอย่างเหนียวแน่น การที่รัฐบาลพนมเปญปลุกระดมกระแสชาตินิยมโดยมองไทยเป็นผู้รุกราน หรือศัตรูทางประวัติศาสตร์ ถือเป็นกลยุทธ์สร้างคะแนนนิยมให้กับชนชั้นนำตระกูลฮุนและพรรคประชาชนกัมพูชา ทว่า พนมเปญกลับมีเป้าหมายที่มากกว่านั้น การเคลื่อนกำลังของทหารเขมรเพื่อเข้าปะทะยั่วยุทหารไทยในหลายจุด ซึ่งเดินหน้าสัมพันธ์กับการยื่นเรื่องฟ้องศาลโลก เพื่อให้พื้นที่กลุ่มปราสาทตาเมือนกับช่องบกเป็นของกัมพูชา ก็ทำให้เจตนารมณ์ของพนมเปญในการชิงดินแดนไทย หรือทำให้นานาชาติเข้ามากดดันไทย ล้วนมีความหนักแน่นขึ้น จนถึงทุกวันนี้ กัมพูชาได้สร้างปัญหาด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงต่อไทย หรือแม้กระทั่งอาเซียนอย่างเด่นชัด การที่กัมพูชาเป็นแหล่งกบดานของกลุ่มจีนเทาและสแกมเมอร์ การที่กัมพูชาทำสงครามข้อมูลข่าวสารโจมตีประเทศไทย โดยเน้นเอาแต่การชิงความได้เปรียบเฉพาะหน้ามากกว่าคำนึงถึงหลักฐานเชิงประจักษ์และศีลธรรม กอปรกับพฤติกรรมของทหารกัมพูชาที่ลอบวางทุ่นระเบิดอยู่เป็นระยะและอารมณ์ที่ควบคุมได้ยากของชนชั้นนำแบบอัตตาธิปไตย (Autocracy) ในพนมเปญ ซึ่งสั่งยิงจรวด BM-21 สังหารพลเรือนคนไทยผู้บริสุทธิ์ ล้วนบ่งชี้ว่า พฤติกรรมของกัมพูชาบนเวทีระหว่งประเทศอาจเข้าข่ายอาชญากรข้ามชาติ อาชญากรสงคราม หรือแม้กระทั่งรัฐอันธพาล (Rogue State) ที่มักเกเรระรานคุกคามรัฐอื่นจนส่งผลเชิงลบต่อสันติภาพในภูมิภาค
การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของมาเลเซียตลอดห้วงปีนี้ ผลักดันให้กัวลาลัมเปอร์ขยับบทบาทขึ้นเพื่อแก้วิกฤตการณ์ในอาเซียน อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เริ่มถามไถ่รัฐบาลไทยถี่ขึ้นเกี่ยวกับความคืบหน้าในกระบวนการเจรจาระหว่างฝ่ายความมั่นคงไทยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น (ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี) ซึ่งมาเลเซียพร้อมเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ประสานอำนวยความสะดวก ขณะเดียวกัน มาเลเซียเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการแก้ไขความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ ทว่า ในสายตาไทย มาเลเซียคงต้องแสดงท่าทีให้สุขุมรอบคอบขึ้นเพื่อช่วยให้ไทยมั่นใจได้ว่ามาเลเซียจะรักษาความเป็นกลางและจะเชื่อถือในหลักฐานข้อเท็จจริงมากกว่าพฤติกรรมบิดเบือนข้อมูลข่าวสารจากฝั่งกัมพูชา
ในกรณีเมียนมา การสู้รบแบบดุเดือดระหว่างกองกำลังกลุ่มต่างๆยังคงดำเนินต่อไปและมีกระสุนพลัดตกเข้ามาในฝั่งไทยอยู่เนือง ๆ แต่ความขัดแย้งในเมียนมากลับมีลักษณะเป็นการต่อสู้ภายในประเทศแล้วสร้างผลกระทบต่อชายแดนไทยบ้าง สวนทางกับกัมพูชาที่มีเจตนาคุกคามไทยทั้งการทหารและด้านอื่น ๆ จนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะไม่พบประเด็นเมียนมาในเอกสารคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลอนุทิน หากแต่การวางยุทธศาสตร์ไทยต่อเมียนมาน่าจะธำรงความสำคัญอยู่สืบไปในหลายประเด็น เช่น พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เคยให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า กระทรวงกลาโหมจะเร่งแก้ไขปัญหาไทย-กัมพูชา จังหวัดชายแดนใต้ และชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งมีปัญหาเรื่องการปิดด่านอันเป็นผลส่วนหนึ่งจากการตัดสินใจของรัฐบาลทหารเมียนมาและสถานการณ์สู้รบที่ยืดเยื้อจนทางการเมียนมาต้องปิดด่านที่ติดกับไทยในหลายจุด
ส่วนนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ก็เป็นที่ทราบกันดีในแวดวงนักการทูตว่า มีประสบการณ์และควมเชี่ยวชาญในเรื่องเมียนมาและกิจการเอเชีย แม้ว่าการแก้ปัญหากับกัมพูชาจะเป็นวาระเร่งด่วนของกระทรวงการต่างประทเศ แต่น่าเชื่อว่า รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศท่านใหม่ พร้อมบุคลากรในกรมเอเชียตะวันออกและกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ คงจะใส่ใจต่อเรื่องการแสดงบทบาทของไทยเพื่อแก้วิกฤติในเมียนมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะ ความช่วยเหลือมนุษยธรรมและท่าทีไทยที่เหมาะสมต่อกระบวนการเลือกตั้งและการสร้างสันติภาพในเมียนมา
ส่วน สปป.ลาว ความสงบตามแนวชายแดนและความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ คือปัจจัยหลักที่ทำให้บรรยากาศการค้า การลงทุนและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมแบบทวิภาคี ดำเนินต่อไปอย่างแนบแน่น ย้อนไปสมัยอดีตนายกรัฐมนตรีแพรทองธา ชินวัตร และ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้มีการเดินทางเยือนกรุงเวียงจันทน์โดยคณะรัฐบาลไทยพร้อมมีการพบปะหารือกระชับความสัมพันธ์กันในระดับผู้นำทั้งสองประเทศ โดยในสมัยของนายกรัฐมนตรีอนุทิน น่าเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ชื่นมื่นสองฝั่งโขง คงได้รับการสืบสานพัฒนาสถาพร
นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา และอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์