ภายหลังการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ผู้นำสหรัฐฯ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ “Hannity” ทางช่อง Fox News กล่าวว่า เขาจะให้คะแนนการพบปะครั้งนี้สูง เนื่องจากทั้งสองเข้ากันได้ดี โดยเขาระบุว่า “ผมคิดว่าการพบกันครั้งนี้ให้ 10 คะแนนเต็มในแง่ที่เราเข้ากันได้ดีมาก และมันดีเมื่อสองมหาอำนาจร่วมมือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ เราเป็นอันดับหนึ่ง พวกเขาเป็นอันดับหนึ่งของโลก และมันเป็นเรื่องใหญ่มาก”
อย่างไรก็ตาม การให้คะแนนในครั้งนี้กลับสวนทางกับสิ่งที่เขากล่าวไว้ก่อนหน้าที่จะมีการประชุม เขาเคยกล่าวไว้ว่า หากการประชุมในครั้งนี้ไม่สามารถบรรลุผลในการหยุดยิงได้ เขาก็จะรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
ภายหลังการประชุม ทั้งสองสุดยอดผู้นำยืนอยู่บนโพเดียม พร้อมกันบนเวที เพื่อแถลงผลการประชุมแก่สื่อมวลชนซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 นาที ทั้งคู่ระบุว่ามีความคืบหน้าในการพูดคุยส่วนตัว แต่จบลงด้วยการที่ยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน ทั้งนี้การแถลงข่าวมีประเด็นสำคัญดังนี้
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ไม่ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนถามคำถาม ภายหลังจากการแถลงเสร็จสิ้น โดยให้เหตุผลว่ารู้สึกอ่อนล้าจากการประชุมที่ยาวนาน ขณะที่โฆษกรัฐบาลเครมลินแจ้งว่า การแถลงข่าวได้ให้ข้อมูลอย่างละเอียดไปแล้ว ด้านดมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซียกล่าวว่า “การสนทนาเป็นไปในเชิงบวกอย่างมาก และประธานาธิบดีทั้งสองได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ การสนทนาครั้งนี้ทำให้เรามั่นใจที่จะเดินหน้าร่วมกันต่อไปบนเส้นทางการหาทางออก”
ผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมงแล้วนับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีปูตินและทรัมป์ต่างขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน หลังเสร็จสิ้นการประชุมในอะแลสกา โดนทรัมป์ขึ้นแอร์ฟอซวันกลับมายังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และปูตินกำลังเดินทางกลับกรุงมอสโก แต่ทางด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีที่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ยังคงไม่ออกมาเคลื่อนไหวใด ๆ
บรรณาธิการข่าว BBC ชาวรัสเซีย ประจำกรุงมอสโก ไวทาลีย์ เชฟเซนโก ผู้ซึ่งติดตามการประชุมสุดยอดผู้นำ ได้ออกมาเขียนบทความวิเคราะห์ระบุว่า ผลการประชุมในเมืองแองเคอเรจ ที่อะแลสกา ที่ดูคลุมเครือและไม่มีความคืบหน้าใด ๆ มากนัก อาจไม่ได้ทำให้ทั่วโลกแปลกใจ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ยูเครนรู้สึกโล่งใจได้ เมื่อยังไม่มีข้อตกลงใด ๆ ที่จะทำให้ยูเครนต้องเสียดินแดนไป
อย่างไรก็ตาม ชาวยูเครนอาจรู้สึกตกใจที่ในระหว่างการประชุม วลาดิมีร์ ปูติน พูดถึง "สาเหตุหลัก" ของความขัดแย้งอีกครั้ง และกล่าวว่า การปลดพวกเขาออกเท่านั้นที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพูดถึงยูเครนมาเสมอ นั่นหมายความว่าเขายังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินตามวัตถุประสงค์เดิมที่จะสั่ง "ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ" ซึ่งก็คือการรื้อถอนยูเครนในฐานะรัฐอิสระ
ความพยายามของชาติตะวันตกที่ต้องการให้รัสเซียยุติสงคราม เป็นเวลาสามปีครึ่งไม่สามารถทำให้ปูตินเปลี่ยนใจได้ และนั่นรวมถึงการประชุมสุดยอดที่อะแลสกาด้วย ความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่หลังการประชุมก็น่ากังวลเช่นกัน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป? การโจมตีของรัสเซียจะยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งหรือไม่?