การเงิน

ทีเอ็มบีธนชาต กำไรพุ่ง 9 เดือน ราว 13,596 ล้านบาท โต 31%

19 ต.ค. 66
ทีเอ็มบีธนชาต กำไรพุ่ง  9 เดือน ราว 13,596 ล้านบาท โต 31%

ปลายฝนต้นหนาวกำลังจะเริ่มขึ้น มาในเวลาไล่เลี่ยกับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/2566 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เขาว่ากันว่า ปลายฝนต้นหนาว อากาศจะสดชื่น สดใสเสมอ 

เฉกเช่นเดียวกับ ผลประกอบการของทีเอ็มบีธนชาต ที่ประกาศออกมาค่อนข้างดีทั้งกำไรในไตรมาส 3 ที่มีกำไรสุทธิ 4,735 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และตัวเลขกำไรสุทธิ 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 13,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ผลจากการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ บริหารจัดการต้นทุน ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ และปรับพอร์ตสินเชื่อไปยังสินเชื่อรายย่อยที่มีผลตอบแทนสูงมากขึ้น 

ผลประกอบการไตรมาส 3 และ 9 เดือนแรกปีนี้ มีดังนี้

  • รายได้รวม

       ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.0%

       9 เดือนปีนี้ อยู่ที่ 52,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6%

  • กำไรสุทธิ

        ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 4,735 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.5%

        9 เดือนปีนี้ อยู่ที่ 10,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.4%

  • สินเชื่อ

        ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 1,313,284 ล้านบาท ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วน 9 เดือนปีนี้ ลดลง 1%

  • เงินฝาก

       ไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 1,329,248 ล้านบาท ลดลง 4.7% ส่วน 9 เดือนปีนี้ ลดลง 5%

โดยสินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 1,363 พันล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า โดยสินเชื่อรายย่อยยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 0.8% จากไตรมาสที่แล้ว นำโดย สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อรถแลกเงิน สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของธนาคาร ด้านสินเชื่อลูกค้าธุรกิจลดลง 1.4% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการชำระหนี้คืนของลูกค้าและกลยุทธ์การรีไซเคิลเงินทุนของธนาคาร

ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,329 พันล้านบาท ชะลอลง 4.7% จากไตรมาสที่แล้ว โดยเงินฝากเป้าหมาย ซึ่งได้แก่ เงินฝากทีทีบี ออลล์ฟรี และเงินฝากประจำยังคงเติบโตได้ตามแผน ขณะที่การลดลงมาจากกลุ่มเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การบริหารต้นทุนทางการเงินและสภาพคล่องของธนาคาร  

โดยผลการดำเนินงานยังคงให้ภาพการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หนุนโดยกลยุทธ์ด้านสินเชื่อและเงินฝาก รวมทั้งการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินและพอร์ตการลงทุนในเชิงรุกเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.1% จากไตรมาส 3/65 ช่วยชดเชยผลจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง 1.1% และทำให้รายได้จากการดำเนินงานรวมในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% จากไตรมาส 3/65 รวม 9 เดือน รายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 52,630 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริหารต้นทุนได้ตามเป้าหมาย

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 7,777 ล้านบาท และรอบ 9 เดือน ปี 2566 อยู่ที่ 22,944 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% และ 5.8% ตามลำดับ เป็นผลจากกิจกรรมทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นและแผนการลงทุนทั้งด้านพนักงานและด้านดิจิทัล โดยธนาคารยังคงสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับด้านรายได้ได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่อยู่ที่ 43% เป็นไปตามกรอบเป้าหมายที่วางไว้

ตั้งสำรองไตรมาส 3/2566 4,354 ล้านบาท ลดลง 0.4% 

ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/66 ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 4,354 ล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยที่ 0.2% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน รวม 9 เดือน ตั้งสำรองฯ ไปทั้งสิ้น 12,874 ล้านบาท ลดลง 5.0% จากปีก่อนหน้า เป็นผลสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่บริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย สะท้อนได้จากอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่อยู่ในระดับต่ำที่ 2.67% ด้านกันชนรองรับความเสี่ยง หรืออัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับสูงที่ 144%

เงินกองทุนอยู่ระดับสูง 20% 

ด้านความเพียงพอของเงินกองทุน อัตราส่วน CAR และ Tier 1 (เบื้องต้น) ณ สิ้นไตรมาส 3/66 ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 20% และ 16% ซึ่งสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ที่ 12.0% และ 9.5% ตามลำดับ 

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชา เปิดเผยว่า ผลประกอบการที่ออกมาถือว่า ธนาคารทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านรายได้ การบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงาน และการดูแลคุณภาพสินทรัพย์ ส่งผลให้มีกำไรที่ดีและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นำไปสู่การปรับเพิ่มการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลขึ้นเป็น 0.05 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 4.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 150% จากเงินปันผลระหว่างกาลในปีที่แล้ว

“ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญกับความผันผวนจากทั้งในและนอกประเทศ ธนาคารยังคงใช้นโยบายการเติบโตสินเชื่อใหม่อย่างระมัดระวัง เนื่องจากมองว่าการเร่งเติบโตสินเชื่อท่ามกลางภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยนี้อาจก่อให้เกิดหนี้เสียและภาระการตั้งสำรองฯ ตามมาในภายหลัง ขณะเดียวกันธนาคารยังคงมีแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้อย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อดูแลลูกค้า ดังนั้นแล้ว การสร้างรายได้และผลตอบแทนจากดอกเบี้ยจึงเน้นไปที่เรื่องของการใช้เงินทุนและสภาพคล่องที่มีอยู่ให้ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ” นายปิติ กล่าว

สำหรับการบริหารพอร์ตเพื่อหนุนรายได้และผลตอบแทนจากดอกเบี้ย ธนาคารใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า การรีไซเคิลเงินทุน หรือการหมุนเวียนนำเอาสภาพคล่องที่ได้รับกลับมาจากการชำระคืนหนี้ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไปปล่อยกู้ให้กับสินเชื่อใหม่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าภายใต้กรอบความเสี่ยงที่กำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม การเติบโตสินเชื่อใหม่จะเน้นการต่อยอดจากฐานลูกค้าเดิมของธนาคาร ผ่านการ cross sell หรือนำเสนอผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพิ่มเติมจากผลิตภัณฑ์เดิมที่ลูกค้ามีอยู่ เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อรถแลกเงิน สินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อแล้ว ยังช่วยควบคุมคุณภาพสินเชื่อ เนื่องจากเรารู้จักและเข้าใจความเสี่ยงของลูกค้าเป็นอย่างดี

ขณะที่การบริหารต้นทุนทางการเงินนั้น ธนาคารใช้กลยุทธ์การขยายฐานเงินฝากล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยได้ทยอยขยายฐานเงินฝากประจำล่วงหน้ามาตั้งแต่ปีที่แล้วกว่า 40% ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาสามารถควบคุมต้นทุนเงินฝากได้ตามแผน ทั้งนี้ เงินฝากโดยรวมของธนาคารที่ปรับตัวลดลงเป็นผลจากการที่ผู้ฝากเงินนำเงินฝากออมทรัพย์ระยะสั้นย้ายไปลงทุนในเงินฝากระยะยาวรวมถึงตราสารหนี้ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น

สำหรับการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี ธนาคารมองว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจจะยังคงมีความท้าทายอยู่ จึงยังยึดแนวทางการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังเช่นเดิม ด้านการแข่งขันด้านเงินฝากคาดว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งย่อมสร้างแรงกดดันต่อต้นทุนเงินฝาก ดังนั้น การขยายฐานเงินฝากในระยะถัดไปก็จะต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างต้นทุนทางการเงินและผลตอบแทนด้านสินเชื่อ

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT