รัฐบาล ‘ไบเดน เตรียมขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจาก 25% เป็น 100% พร้อมขึ้นภาษีสินค้าพลังงานสะอาดอื่นๆ เช่น แผงโซลาร์เซลล์ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ชี้รัฐบาลจีนให้เงินสนับสนุนเอกชนจนสินค้าราคาถูกเกินควรเพื่อตีตลาดต่างประเทศ เป็นการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรม
ในวันที่ 15 พ.ค. โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ได้ออกมาเปิดเผยถึงแผนเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าพลังงานสะอาดของจีน 3 ประเภทในปีนี้ และสินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าทางการแพทย์ และเครนยกของจากเรือขึ้นฝั่ง มูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.5 แสนล้านบาท
โดย CNBC รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะเพิ่มภาษีนำเข้าอีวีจีนจาก 25% เป็น 100% แผงโซลาร์เซลล์จาก 25% เป็น 50% และ โลหะและอะลูมิเนียมจากจีนบางชนิดจาก 7.5% เป็น 25%
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนจะเพิ่มภาษีนำเข้าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนสำหรับอีวี และแบตเตอรี่ลิเทียมสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ จากจีน กว่า 3 เท่า และจะเพิ่มภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากจีนจาก 25% เป็น 50% ในปี 2025
ทั้งนี้ รัฐบาลมีแผนที่จะขึ้นภาษีสินค้าอย่างแบตเตอรี่และกราไฟท์อย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ภาคการผลิตและภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ มีเวลาปรับตัวเพื่อเพิ่มการผลิตจนซัพพลายสินค้าที่ผลิตในประเทศเพียงพอต่อความต้องการ
รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าการขึ้นกำแพงภาษีสินค้าจีนในครั้งนี้จะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าและอุปกรณ์พลังงานสะอาดในประเทศจากการล้นทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากจีน และสามารถพัฒนาจนแข็งแกร่ง เป็นภาคส่วนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ในอนาคต
รัฐบาลจีนอัดเงินสนับสนุนมากเกินไป จงใจกดราคาเพื่อครองตลาด
นายไบเดน ได้ให้เหตุผลในการขึ้นกำแพงภาษีในครั้งนี้ว่า เกิดจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลอัดฉีดเงินสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์พลังงานสะอาดมากเกินควร จนต้นทุนการผลิตสินค้าเหล่านี้ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ เป็นการจงใจกดราคาเพื่อครองตลาด
โดยรัฐบาลสหรัฐยังมองว่า การอัดฉีดเงินทุนสนับสนุนมากเกินไป ทำให้เกิดซัพพลายล้นเกินภายในประเทศ เพราะทำให้มีผู้สนใจมาทำธุรกิจด้านนี้มาก และเมื่อปริมาณสินค้าภายในประเทศล้นจนขายไม่ทัน สินค้าเหล่านั้นก็ย่อมจะทะลักออกมานอกประเทศ ซึ่งส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมอุปกรณ์พลังงานสะอาดในประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ที่มีต้นทุนสูงกว่าจนแข่งขันได้ยาก และในบางกรณียังอยู่ในระยะตั้งไข่ ยังไม่แข็งแรงเหมือนอุตสาหกรรมเดียวกันในจีน
ภายหลังจากที่นายไบเดนประกาศแผนเพิ่มกำแพงภาษีดังกล่าว รัฐบาลจีนก็ออกแถลงการณ์มาโต้ตอบทันทีในวันเดียวกัน กล่าวว่า การเพิ่มกำแพงภาษีในครั้งนี้ เป็นการทำผิดสัญญาที่ไบเดนเคยกล่าวไว้ว่าจะไม่พยายามสกัดกั้นหรือควบคุมการพัฒนาทางเศรษฐกิจของจีน และสหรัฐฯ ควรยกเลิกกำแพงภาษีที่มีต่อสินค้าจีน มิเช่นนั้นจีนก็จะต้องใช้มาตรการต่างๆ มาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศเช่นกัน
ไบเดนยันไม่ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เพราะเพิ่มภาษีสินค้าไม่กี่ตัว
ทั้งนี้ แม้จะเป็นมาตรการที่อาจช่วยเหลือให้อุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์พลังงานสะอาดภายในประเทศเติบโตได้จริง ก็มีข้อกังวลว่ามาตรการนี้อาจทำให้ราคาสินค้าที่เจอกำแพงภาษีในสหรัฐมีราคาสูงขึ้นอย่ารวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต และผู้บริโภคในประเทศ
สำหรับกรณีนี้ ธนาคาร Goldman Sachs เคยคาดการณ์ไว้ว่า หากรัฐบาลสหรัฐเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้า ทุกๆ 1 percentage point จะทำให้ GDP ของประเทศลดลง 0.03% และทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น 0.1% ซึ่งเมื่อดูจากปริมาณจำนวนเปอร์เซนที่รัฐบาลไบเดนเพิ่มในครั้งนี้แล้ว กำแพงภาษีในระดับนี้ก็น่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ พอสมควร
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไบเดนได้ออกมายืนยันว่าการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ จากจีนในครั้งนี้ จะไม่ทำให้เงินเฟ้อขึ้น เพราะเป็นการเพิ่มภาษีสำหรับสินค้าเพียงบางประเภท และมุ่งเจาะสินค้าในไม่กี่อุตสาหกรรมเท่านั้น แตกต่างจากนโยบายในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแผนจะขึ้นภาษีสินค้าทุกประเภท 10%
ที่มา: CNBC