ขณะที่มาตรการหยุดเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีระยะเวลา 90 วัน กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ ได้ส่งสัญญาณว่า รัฐบาลอาจพิจารณาขยายเส้นตายออกไป หากประเทศคู่ค้าแสดงความตั้งใจจริงในการเจรจา
“หากประเทศคู่ค้าที่สำคัญของสหรัฐฯ ทั้ง 18 แห่ง รวมถึงกลุ่มอย่างสหภาพยุโรป มีความจริงใจในการเจรจา สหรัฐฯ ก็พร้อมจะขยับกรอบเวลาออกไปเพื่อให้การเจรจาดำเนินต่อ” เบสเซนต์กล่าวระหว่างการให้การต่อคณะกรรมาธิการด้านวิธีการและรายได้ของสภาผู้แทนราษฎร ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน
เบสเซนต์ย้ำว่า รัฐบาลทรัมป์กำลัง “เดินหน้าสู่การทำข้อตกลง” กับประเทศเหล่านั้น พร้อมระบุชัดว่า “หากไม่มีความพยายามเจรจาเกิดขึ้น สหรัฐฯ ก็จะไม่ขยายเวลาการผ่อนผันออกไป”
ท่าทีล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลแสดงความยืดหยุ่นต่อเส้นตายดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกมองว่าเป็นจุดยืนที่เข้มงวด โดยกำหนดให้ต้องมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมก่อนหมดเวลา
ทั้งนี้ การประกาศหยุดเก็บภาษีแบบตอบโต้ในครั้งแรกมีขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้าหลัก ล่าสุด รัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศข้อตกลงทางการค้าอย่างเป็นทางการกับสหราชอาณาจักร และข้อตกลงกรอบเบื้องต้นกับจีน ซึ่งรวมถึงการที่จีนตกลงที่จะส่งออกแม่เหล็กและแร่หายากให้บริษัทอเมริกัน ขณะที่สหรัฐฯ จะยุติแผนการเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีน
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ส่งหนังสือตอบรับอย่างเป็นทางการถึงฝ่ายไทย เพื่อยืนยันการเปิดการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการภาษีตอบโต้ นับเป็นพัฒนาการสำคัญที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการหารืออย่างเป็นระบบภายใต้กรอบเวลา 90 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 8 กรกฎาคม 2568
หลังได้รับการตอบรับ ไทยได้เร่งจัดตั้งคณะทำงานด้านเทคนิคร่วมกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการหารือในเชิงลึก ครอบคลุมทั้งด้านภาษีและมาตรการทางการค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในระดับผู้นำ รัฐบาลไทยได้มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่หัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย โดยมีแนวทางเบื้องต้นว่าจะเข้าร่วมการเจรจาในรูปแบบการเดินทางไปยังสหรัฐฯ หากเวลาเอื้ออำนวย หรืออาจเปลี่ยนไปใช้รูปแบบการประชุมทางไกลในกรณีที่มีข้อจำกัดด้านเวลา
ในสาระการเจรจา ไทยได้เสนอข้อเสนอ 5 ประเด็นหลัก ที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงเสียดทานทางการค้า และสร้างความสมดุลในเชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ โดยตั้งเป้าลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐลง 50% ภายใน 5 ปี และสมดุลเต็มรูปแบบภายใน 10 ปีข้างหน้า ได้แก่
1. ร่วมมือด้านอาหารแปรรูป
ไทยเสนอแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปโดยใช้สินค้าเกษตรจากสหรัฐ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เป็นวัตถุดิบ ซึ่งจะถูกแปรรูปในไทยก่อนส่งออกสู่ตลาดโลก นโยบายนี้เจาะกลุ่มฐานเสียงเกษตรกรในรัฐ swing states ของสหรัฐที่มีบทบาททางการเมืองอย่างสูง โดยเฉพาะภายใต้การเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามา
2. เพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐ
ไทยแสดงความพร้อมในการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็น เช่น น้ำมันดิบ ก๊าซ LNG ชิ้นส่วนอากาศยาน อาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนสินค้าเกษตร เพื่อกระชับสายสัมพันธ์และสร้างแต้มต่อในการเจรจา
3. เปิดตลาด ลดอุปสรรค
ไทยเสนอการลดภาษี MFN กว่า 11,000 รายการลง 14% พร้อมลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เช่น โควตา และข้อจำกัดที่ขัดขวางสินค้าสหรัฐ โดยเปิดตลาดให้สินค้าใหม่ เช่น เชอร์รี แอปเปิ้ล ข้าวสาลี และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์
4. คุมเข้มถิ่นกำเนิดสินค้า
เพื่อลดปัญหาการสวมสิทธิ “Made in Thailand” จากประเทศที่ 3 ไทยยืนยันการบังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเคร่งครัด พร้อมเพิ่มมาตรการตรวจสอบก่อนการส่งออกไปสหรัฐ
5. ส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐ
ภาครัฐเตรียมผลักดันการขยายการลงทุนของบริษัทไทยในสหรัฐ โดยเฉพาะในโครงการพลังงาน เช่น LNG ในรัฐอลาสก้า และฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันไทยมีการลงทุนในสหรัฐมากกว่า 70 โครงการใน 20 มลรัฐ มูลค่ารวม 16,000 ล้านดอลลาร์ สร้างงานกว่า 16,000 ตำแหน่ง