ธุรกิจการตลาด

อะไรทำให้ แฮมเบอร์เกอร์และฮอทดอกกลายเป็นไอคอนอาหารจานด่วนระดับโลก

9 มิ.ย. 67
อะไรทำให้ แฮมเบอร์เกอร์และฮอทดอกกลายเป็นไอคอนอาหารจานด่วนระดับโลก

เบอร์เกอร์และฮอทดอกไม่ได้เป็นแค่เมนูอาหารจานด่วน แต่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนเรื่องราวการผสมผสานของผู้อพยพ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตแบบอเมริกัน จากสูตรอาหารง่ายๆ สู่ธุรกิจระดับโลก การเดินทางของอาหารสองชนิดนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ ทั้งต้นกำเนิดในยุโรป การปฏิวัติอาหารจานด่วนในอเมริกา ไปจนถึงการมาถึงของเบอร์เกอร์ในประเทศไทยกับแบรนด์ไทยเจ้าแรก

แต่อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีความท้าทายและข้อถกเถียงเกิดขึ้นมากมาย ทั้งเรื่องสิทธิแรงงาน ความยั่งยืน และผลกระทบต่อสุขภาพ เราจะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของเบอร์เกอร์และฮอทดอก ตั้งแต่ต้นกำเนิด วิวัฒนาการ ความสำเร็จ ไปจนถึงความท้าทายในปัจจุบัน

อะไรทำให้ แฮมเบอร์เกอร์และฮอทดอกกลายเป็นไอคอนอาหารจานด่วนระดับโลก

อะไรทำให้ แฮมเบอร์เกอร์และฮอทดอกกลายเป็นไอคอนอาหารจานด่วนระดับโลก

ขอเชิญท่านเข้าสู่โลกแห่งอาหารจานด่วน โดยครั้งนี้ SPOTLIGHT จะพาท่านไปทำความรู้จักกับ เบอร์เกอร์และฮอทดอก ทำไมถึงครองความนิยมอย่างสูงสุด! เราจะมาสำรวจเรื่องราวเบื้องหลังอาหารอเมริกันรสเลิศ ที่ไม่ได้เพียงเอาชนะใจชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังก้าวสู่การเป็นอาหารระดับโลกอีกด้วย เคยสงสัยไหมว่าเบอร์เกอร์และฮอทดอกมีต้นกำเนิดมาจากไหน? เรามาติดตามเรื่องราวของอาหารเหล่านี้ตั้งแต่ในครัวของผู้อพยพชาวยุโรป ไปจนถึงถนนที่พลุกพล่านของอเมริกาในยุคแรกเริ่ม ใครจะคาดคิดว่าสูตรอาหารที่เรียบง่ายเหล่านี้ จะกลายมาเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกในวันนี้?

การปฏิวัติอาหารจานด่วนในอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 20

การเติบโตของอาหารจานด่วนในสหรัฐอเมริกาช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเศรษฐกิจ ความสะดวกสบาย และวัฒนธรรมการกิน ในแง่เศรษฐกิจ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นยุคที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูอย่างไม่เคยมีมาก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นกลางทำให้การออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ประกอบกับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ทำให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้น จึงเป็นการเปิดทางให้ร้านอาหารแบบ Drive-Thru และร้านอาหารริมทางหลวงเติบโตอย่างรวดเร็ว

ในแง่ของสังคมนั้น อาหารจานด่วนตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เร่งรีบและยุคสมัยที่ครัวเรือนมีรายได้สองทาง ซึ่งเวลาในการทำอาหารที่บ้านมีน้อยนิดยิ่งกว่าซอสมะเขือเทศบนเบอร์เกอร์เสียอีก

ในแง่วัฒนธรรม อาหารจานด่วนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานทางวัฒนธรรมอาหารของอเมริกา แฮมเบอร์เกอร์และฮอทดอก ซึ่งมีรากฐานมาจากอาหารเยอรมันและยุโรป ถูกปรับปรุงและผลิตขึ้นเป็นจำนวนมาก การปฏิวัติอาหารจานด่วนไม่ได้เพียงแค่เติมเต็มกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่มันยังได้ฝากร่องรอยที่ลบไม่ออกไว้ในวัฒนธรรมอเมริกัน ผสมผสานความเจริญรุ่งเรือง ชีวิตที่เร่งรีบ และเฟรนช์ฟรายส์เข้าด้วยกัน

จุดกำเนิดเบอร์เกอร์และฮอทดอก

เรื่องราวต้นกำเนิดของเบอร์เกอร์และฮอทดอกเปรียบเสมือนพรมผืนใหญ่ที่ถักทอจากเส้นใยแห่งความหลากหลายของผู้อพยพในสหรัฐอเมริกา พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไส้กรอกและอาหารประเภทเนื้อบดจากยุโรปให้กลายมาเป็นอาหารอเมริกันยอดนิยม

ต้นกำเนิดของเบอร์เกอร์นั้น สามารถย้อนกลับไปได้ถึงเมืองฮัมบูร์กในเยอรมนี ซึ่งเนื้อวัวบดเป็นอาหารที่ได้รับความนิยม แต่เบอร์เกอร์ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาอย่างที่เรารู้จักกันจนกระทั่งช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เมื่อผู้อพยพชาวเยอรมันได้นำเนื้อบด "สไตล์ฮัมบูร์ก" มาสู่อเมริกา การเพิ่มขนมปังเข้าไป ซึ่งมักจะยกความดีความชอบให้กับ Charles Nagreen ในงาน Seymour Fair ปี 1885 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ข้อเท็จจริงที่ไม่ค่อยมีคนรู้ คือ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เบอร์เกอร์ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "liberty sandwiches" เพื่อลดความรู้สึกต่อต้านเยอรมัน

ฮอทดอก หรือแฟรงค์เฟิร์ตเตอร์ มีต้นกำเนิดมาจากเมืองแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ผู้อพยพจากแฟรงค์เฟิร์ตได้นำไส้กรอกเหล่านี้มาสู่อเมริกาในช่วงปี 1800s และในที่สุดพวกมันก็กลายมาเป็น "ฮอทดอก" เมื่อพ่อค้าแม่ค้าในสนามเบสบอลเริ่มขายพวกมันในรูปแบบของโรล ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ฮอทดอกที่ยาวที่สุดที่เคยทำมามีความยาวถึง 668 ฟุต!

ทั้งเบอร์เกอร์และฮอทดอกต่างก็มีวิวัฒนาการมาตลอดเวลา มีหลากหลายรูปแบบ รสชาติ และเครื่องปรุงที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่หลากหลายของอเมริกา ในปัจจุบัน อาหารยอดนิยมทั้งสองอย่างนี้ไม่เพียงแต่เป็นอาหารที่อร่อยเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของประวัติศาสตร์การอพยพและนวัตกรรมการทำอาหารของชาติอีกด้วย

จากเบอร์เกอร์สู่อุตสาหกรรมอาหารจานด่วน

การถือกำเนิดของอุตสาหกรรมอาหารจานด่วนถือเป็นการปฏิวัติวงการอาหารที่เปลี่ยนแปลงวิถีการกินของชาวอเมริกันไปตลอดกาล โดยผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือสองเชนร้านอาหารชื่อดังอย่าง White Castle และ McDonald's

White Castle ก่อตั้งขึ้นในปี 1921 โดย Billy Ingram และ Walter Anderson ได้บุกเบิกแนวคิดอาหารจานด่วนโดยเน้นที่ความรวดเร็ว ความคงเส้นคงวา และราคาที่เข้าถึงได้ พวกเขาแนะนำโลกให้รู้จักกับ "Slider" ซึ่งเป็นแฮมเบอร์เกอร์ขนาดเล็กสี่เหลี่ยมที่สามารถเตรียมได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคนิคการประกอบอาหารแบบสายพานที่ชาญฉลาด แนวทางนี้กลายเป็นต้นแบบสำหรับอุตสาหกรรมอาหารจานด่วนที่เน้นประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม

McDonald's ก่อตั้งโดย Ray Kroc ในปี 1955 ได้นำแนวคิดอาหารจานด่วนไปสู่อีกระดับด้วยการใช้ระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพซึ่งให้ความสำคัญกับความคงเส้นคงวา "Speedee Service System" ใช้การวัดและเวลาในการปรุงอาหารที่แม่นยำ ทำให้มั่นใจได้ว่า เบอร์เกอร์ทุกชิ้นมีรสชาติเหมือนกันไม่ว่าจะอยู่ในแคลิฟอร์เนียหรือนิวยอร์ก นี่คือ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงวงการอาหารจานด่วนไปตลอดกาล และซุ้มประตูสีทองก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของแฮมเบอร์เกอร์ที่รวดเร็ว เชื่อถือได้ และอร่อย

ในส่วนของฮอทดอก ไส้กรอกยอดนิยมนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสันทนาการและความบันเทิงของชาวอเมริกัน ตั้งแต่เริ่มต้นที่ Coney Island ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงการเป็นอาหารหลักในสนามเบสบอล ฮอทดอกเป็นสัญลักษณ์ของความสนุกสนานและการปล่อยตัว แบรนด์ดังอย่าง Nathan's Famous และ Oscar Mayer มีบทบาทสำคัญในการทำให้ฮอทดอกเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ที่น่าสนใจคือ วลีที่ว่า "เป็นอเมริกันเหมือนพายแอปเปิล" สามารถถูกแทนที่ด้วย "เป็นอเมริกันเหมือนฮอทดอกในสนามเบสบอล" ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเน้นย้ำถึงความนิยมที่ไม่เสื่อมคลายของฮอทดอก

คนไทย รู้จักเบอร์เกอร์ ได้อย่างไร

อะไรทำให้ แฮมเบอร์เกอร์และฮอทดอกกลายเป็นไอคอนอาหารจานด่วนระดับโลก

ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีก่อน เมนูอาหารจานด่วนอย่าง "เบอร์เกอร์" ยังเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนไทย เพราะยังไม่มีเชนร้านเบอร์เกอร์ต่างชาติเจ้าใหญ่ๆ อย่าง KFC, McDonald's หรือ Burger King เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย แต่ท่ามกลางความไม่คุ้นเคยนี้ มีแบรนด์ไทยเจ้าหนึ่งที่กล้าบุกเบิกและนำเสนอเบอร์เกอร์สัญชาติไทยให้คนไทยได้ลิ้มลอง นั่นคือ "สยามสะเต๊ค"

สยามสะเต๊ค ถือเป็นตำนานธุรกิจเชนร้านเบอร์เกอร์เจ้าแรกในประเทศไทย ที่ดำเนินกิจการมากว่า 48 ปีแล้ว จุดเริ่มต้นของร้านเกิดขึ้นในปี 2518 เมื่อคุณแจ่มจันทร์ หมื่นนิกร ผู้ก่อตั้ง ได้มีโอกาสทำงานเป็นนักแปลภาษาให้กับคณะที่ปรึกษาทางการทหารสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเวียดนาม จากการทำงานนี้เอง ทำให้คุณแจ่มจันทร์ได้สังเกตเห็นว่า ทหารอเมริกันชื่นชอบการรับประทานเบอร์เกอร์เป็นอย่างมาก เธอจึงเกิดไอเดียที่จะนำเบอร์เกอร์มาแนะนำให้คนไทยได้รู้จักบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานั้น ที่เมนูเบอร์เกอร์ยังหาทานได้ยากในประเทศไทย

คุณแจ่มจันทร์ได้ใช้เวลาถึง 1 ปีเต็มในการเรียนรู้และพัฒนาสูตรเนื้อแพตตี้เบอร์เกอร์ให้มีรสชาติอร่อยเป็นเอกลักษณ์ จนได้ชื่อว่า "Siam Steak" และเริ่มต้นวางขายเนื้อแพตตี้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ แม้ในช่วงแรกจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่โชคก็เข้าข้างเมื่อ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ได้ลองชิมและติดใจในรสชาติ จนเนื้อแพตตี้ของสยามสะเต๊คได้รับป้ายการันตี "เชลล์ชวนชิม" และได้โฆษณาในนิตยสารชื่อดัง ทำให้ชื่อเสียงของสยามสะเต๊คเป็นที่รู้จักมากขึ้น

ด้วยความสำเร็จนี้ คุณแจ่มจันทร์จึงตัดสินใจต่อยอดธุรกิจจากการผลิตเนื้อแพตตี้ มาสู่การเปิดร้านเบอร์เกอร์อย่างเต็มตัว ซึ่งถือเป็นร้านเบอร์เกอร์เชนเจ้าแรกในประเทศไทย ก่อนที่แบรนด์ต่างชาติจะเข้ามาเปิดตลาดในภายหลัง

จุดเด่นของเบอร์เกอร์สยามสะเต๊ค นอกจากเนื้อแพตตี้สูตรเด็ดแล้ว ยังมีไข่ดาวเยิ้มๆ และสับปะรดฉ่ำๆ ที่ช่วยเพิ่มรสชาติและตัดเลี่ยน ทำให้เบอร์เกอร์ของสยามสะเต๊คมีรสชาติที่ไม่เหมือนใคร และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ด้วยเหตุนี้ สยามสะเต๊คจึงมุ่งเน้นขยายสาขาไปยังโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักได้ง่ายขึ้น ปัจจุบัน สยามสะเต๊คมีหลายสาขาทั่วประเทศ ทั้งในโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และหน่วยงานต่างๆ

อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนกำลังเผชิญกับความท้าทายและข้อถกเถียงมากมายในหลายด้าน

อะไรทำให้ แฮมเบอร์เกอร์และฮอทดอกกลายเป็นไอคอนอาหารจานด่วนระดับโลก

แม้ว่าอาหารจานด่วนจะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสมัยใหม่ แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายและรสชาติที่ถูกปากนั้น อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนกำลังเผชิญกับความท้าทายและข้อถกเถียงที่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง ตั้งแต่ประเด็นสิทธิแรงงานที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไปจนถึงผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคที่ไม่อาจมองข้ามได้ อาทิ

  • สิทธิแรงงาน: ขบวนการ "Fight for $15" ในสหรัฐฯ เรียกร้องให้อัตราค่าแรงขั้นต่ำของพนักงานอาหารจานด่วนอยู่ที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง โดยเน้นย้ำถึงปัญหาค่าแรงต่ำและสวัสดิการที่ไม่เพียงพอ เชนร้านอาหารขนาดใหญ่ เช่น McDonald's และ Burger King ตกเป็นจำเลยในคดีความและการประท้วงเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิแรงงาน
  • ความยั่งยืน: ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมอาหารจานด่วนเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเศษอาหาร การตัดไม้ทำลายป่า และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืน
  • สุขภาพของประชาชน: การบริโภคอาหารจานด่วนเชื่อมโยงกับอัตราการเกิดโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รายงานจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุว่า การบริโภคอาหารจานด่วนในปริมาณมากสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจในสหรัฐฯ นอกจากนี้ สหพันธ์โรคอ้วนโลกประเมินว่าในปี 2564 มีผู้ใหญ่ในอินเดียเกือบ 79 ล้านคนเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการบริโภคอาหารจานด่วน

ความท้าทายเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของอุตสาหกรรมอาหารจานด่วน ซึ่งยังคงมีการถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการจ้างงาน ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

สุดท้ายนี้ เบอร์เกอร์และฮอทดอก ยังคงเป็นมากกว่าอาหาร เรียกได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สะท้อนถึงความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงของสังคม จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในยุโรป สู่การเป็นสัญลักษณ์ของอาหารจานด่วนอเมริกัน และขยายไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ความนิยมที่ไม่เสื่อมคลายของอาหารสองชนิดนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการปรับตัวและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละยุคสมัย

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ ทั้งในด้านสิทธิแรงงาน ความยั่งยืน และสุขภาพของประชาชน การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้บริโภค เพื่อให้เบอร์เกอร์และฮอทดอกยังคงเป็นอาหารที่ทุกคนสามารถเพลิดเพลินได้อย่างมีความสุขและยั่งยืน

ที่มา hercircle และ Siam Steak

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT