การส่งออกของไทยในเดือนสิงหาคม 2568 ยังคงขยายตัว 5.8% คิดเป็นมูลค่า 27,743 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 แต่ในระยะถัดไป ภาพรวมการส่งออกยังเต็มไปด้วยความท้าทายอยู่มากเพราะการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาได้แรงหนุนจากการเร่งส่งออก (Front-loading) หลังจากผู้ประกอบการเร่งกระจายสินค้าไปยังสหรัฐฯ ก่อนที่มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้แต่หลังจากนั้นการส่งออกจะเป็นภาพของการได้รับผลกระทบจริงจากมาตรการภาษีตอบโต้
ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การส่งออกอย่างใกล้ชิดผ่านดัชนีชี้นำการส่งออกของไทย (EXIM Index) ล่าสุดดัชนีมีโอกาสอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ลดลงจากระดับ 100.5 ในไตรมาส 2 สะท้อนแนวโน้มการชะลอตัวชัดเจน โดยมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และการแข็งค่าของเงินบาท เป็นปัจจัยเสี่ยงในระยะข้างหน้า
ดร.เบญจรงค์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อปรับลดภาษี Reciprocal Tariffs ของสหรัฐฯ ลงจาก 36% เหลือ 19% แต่ยังมีปัจจัยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ รายการสินค้าที่ไทยยกเว้นภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปรับลดภาษี Reciprocal Tariffs รวมถึงความชัดเจนในการกหนดเกณฑ์สินค้านำเข้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนการผลิตในภูมิภาค (Regional Value Content : RVC) หรือวัตถุดิบที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศ (Local Content) ซึ่งอาจกระทบต่อการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยโดยตรง
“อัตราภาษี 19% ที่ได้จากการเจรจากับสหรัฐฯ ยังไม่ใช่ตัวเลขสุดท้าย สหรัฐฯ สามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอหากเห็นว่าไทยดำเนินการไม่เป็นไปตามเงื่อนไข นี่คือเครื่องมือกดดันเชิงนโยบายที่สหรัฐฯ ใช้ต่อหลายประเทศ ส่งผลให้กลุ่มเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น BRICS หันมาจับมือกันแน่นแฟ้นขึ้นเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง ขณะเดียวกัน มาตรการกีดกันด้านสิ่งแวดล้อมจากยุโรป และแนวโน้มที่ประเทศอื่น ๆ อาจใช้มาตรการภาษีในลักษณะเดียวกัน ล้วนสะท้อนว่ากระแสโลกาภิวัฒน์กำลังเคลื่อนสู่ทิศทางย้อนกลับ นอกจากนี้ อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิดคือ อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา เงินบาทของไทยแข็งค่ากว่าหลายประเทศในภูมิภาค ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย” ดร.เบญจรงค์กล่าว
ท่ามกลางความท้าทายและโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ ผู้ประกอบการไทยควรเตรียมพร้อมรับมือด้วย 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1) เข้าถึงคู่ค้าของตนเอง ด้วยการติดต่อประสานงานกับคู่ค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อยืนยันการรับสินค้าและตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านภาษี 2) เข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและการประกันการส่งออก 3) เข้าสู่ตลาดใหม่ ด้วยการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อกระจายความเสี่ยง และ 4) เข้าใจและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาใช้ประเมินผลกระทบและปรับกลยุทธ์ให้ได้อย่างทันท่วงที
EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลังที่มีบทบาทในการผลักดันการค้าและการลงทุนของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในเวทีโลก ได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเปิด Export Clinic ให้คำปรึกษาแนวทางในการปรับตัว มาตรการช่วยเหลือทางการเงินทั้งการยืดหนี้ เสริมสภาพคล่องและกระจายตลาดใหม่ ๆ ตลอดจนบริการเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงรอบด้านเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถฝ่าฟันสงครามการค้าครั้งนี้ และกลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
“EXIM BANK พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการไทย ให้การสนับสนุนทั้งด้านการเงินและเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งในตลาดการค้าหลักและตลาดใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยในทุกมิติ” ดร.เบญจรงค์ กล่าว
Advertisement